จากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งเหตุปะทะ การลักลอบเข้าเมือง และการพบระเบิดตกค้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาและป่าทึบ ทำให้แนวคิดในการสร้าง “กำแพงถาวร” ระหว่างสองประเทศกลับมาถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง
แม้จะมองว่าเป็นทางออกด้านความมั่นคง แต่ก็ต้องแลกกับงบประมาณจำนวนมหาศาล และต้องเผชิญข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่ยากต่อการก่อสร้าง
ชายแดนยาว 798 กิโลเมตร
ข้อมูลจากกองทัพบก ระบุว่า ชายแดนไทย–กัมพูชามีความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
เขตแนวอิงตามสันปันน้ำ ยาวประมาณ 524 กม.
เขตแนวอิงตามลำน้ำ ยาวประมาณ 216 กม.
และแนวเขตเส้นตรงระหว่างเขตแดน ยาวประมาณ 58 กม.
จุดผ่านแดนไทย–กัมพูชา 18 แห่ง ใน 7 จังหวัดชายแดน
ประเทศไทยมีจุดผ่านแดนไทย – กัมพูชา ทั้งหมด 18 แห่ง ใน 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี ตราด และบุรีรัมย์ แบ่งตามประเภทดังนี้
จุดผ่านแดนถาวร 8 แห่ง
จุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง
และจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง
จุดผ่านแดนถาวร 8 แห่ง ประกอบด้วย ช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ / ช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ / บ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว / บ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว / สะพานมิตรภาพไทย–กัมพูชา (หนองเอี่ยน–สตึงบท) อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว / บ้านแหลม อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี / บ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี / บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
ส่วนจุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง ประกอบด้วย บ้านน้ำยืน (ช่องอานม้า) อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี / บ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว / บ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว / บ้านซับตารี อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี / บ้านสวนส้ม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี / บ้านบึงชนังล่าง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี / บ้านหมื่นด่าน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด / บ้านมะม่วง (เนิน 400) อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด / ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
ขณะที่จุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง ได้แก่ ช่องทางขึ้นเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ
รูปแบบกำแพงและงบประมาณ
“กองบัญชาการกองทัพไทย” ได้เปิดแบบแผนการดำเนินโครงการสร้าง รั้วคอนกรีตสำเร็จรูป ครึ่งตะแกรงเหล็กชุบอะลูซิงก์ พร้อมติดลวดหนามหีบเพลง และสร้างถนนตรวจการณ์
โดยรายละเอียดอุปกรณ์และค่าใช้จ่าย มีดังนี้
• ลวดหนามหีบเพลง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 45 เซนติเมตร ราคาเมตรละ 210 บาท
• รั้วตะแกรงเหล็กชุบอะลูซิงก์ ระยะห่าง 2 เซนติเมตร พร้อมอุปกรณ์ ป้องกันปืนป่าย ราคาเมตรละ 3,100 บาท
• ทับหลังสำเร็จรูป ขนาดหน้าตัด 20×15 เซนติเมตร ราคาเมตรละ 420 บาท
• แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปขนาด 3.00 X 0.25 เมตรหนา 7.5 ชม. (5 แผ่น) ราคาเมตรละ 1,020 บาท
• คานคอดินสำเร็จรูปขนาด 65×20 เซนติเมตร ราคาเมตรละ 620 บาท
• ตอม่อขนาด 1.00 x 1.00 เมตร ราคาชุดละ 550 บาท
• เสาสำเร็จรูป ขนาดหน้าตัด 20×20 เซนติเมตร ราคาเมตรละ 1,260 บาท
• ค่าปรับพื้นที่ถากถาง ขุดดิน ทำตอม่อ และคานคอดิน ราคาเมตรละ 180 บาท
• รวมค่าก่อสร้างรั้ว ราคาเมตรละ 7,360 บาท ราคาต่อกิโลเมตรละ 7,360,000 บาท
พร้อมทั้งสร้างถนนตรวจการณ์ที่มีผิวจราจรเป็นลูกรังกว้าง 5 เมตร เป็นพื้นลูกรังบดอัดแน่น 3 ชั้น ราคา 1,300,000 บาทต่อกิโลเมตร เมื่อรวมค่าก่อสร้างทั้งหมดกิโลเมตรละ 8,660,000 บาท
ทั้งนี้ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เริ่มก่อสร้างแนวป้องกันบริเวณที่ไม่มีข้อพิพาท โดยระยะแรกมีความยาว 5.1 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 50–51 ในอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หากอ้างอิงตามข้อมูลดังกล่าว การก่อสร้างระยะเริ่มต้นเพียง 5.1 กิโลเมตรนี้ ใช้งบประมาณ 43 ล้านบาท
หากพิจารณาตัวเลขดังกล่าวและนำไปคำนวณต่อเนื่องในกรณีที่มีการสร้างแนวป้องกันตลอดแนวพรมแดนทางบกไทย–กัมพูชาทั้งหมด ซึ่งมีความยาวราว 798 กิโลเมตร จะต้องใช้งบประมาณเฉลี่ยประมาณ 8.66 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายรวมอาจสูงถึงประมาณ 6,900 ล้านบาท
พื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือปัญหาพื้นที่ทับซ้อน หากการปักปันเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ การสร้างกำแพงในพื้นที่พิพาทอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดอธิปไตย ทำให้ต้องหยุดสร้างชั่วคราวหรือเว้นช่องว่างในแนวกำแพง
แม้การสร้างกำแพงจะช่วยป้องกันบางพื้นที่ เช่น เขตพบระเบิดบ่อย หรือพื้นที่ที่มีการลักลอบขนอาวุธและแรงงานผิดกฎหมาย แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด หากยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน
สุดท้ายแล้ว “กำแพง” อาจช่วยกั้นคนได้บางส่วน แต่ไม่สามารถกั้นปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้โครงสร้างทั้งหมดของชายแดนได้
Advertisement