วันที่ 21 ตุลาคม 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ได้มีการกำหนดเพิ่มเติมบทนิยาม คำว่าเหตุสุดวิสัยให้ครอบคลุมถึงภัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน ซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ เพื่อให้การคุ้มครองของประกันสังคมครอบคลุมถึงภัยจากการสู้รบหรือความไม่สงบที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ซึ่งจะทำให้ลูกจ้าง
ซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ไม่สามารถไปทำงานหรือสถานประกอบการต้องปิดชั่วคราวเพื่ออพยพไปพื้นที่ปลอดภัยซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดนโดยได้กำหนดให้ลูกจ้างในกรณีดังกล่าวมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเช่นเดียวกับเหตุสุดวิสัยที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน คือ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ทำงาน หรือที่นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการ แล้วแต่กรณี แต่รวมกันไม่เกิน 180 วันและในการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้จ่ายเป็นรายเดือนสำหรับเศษของเดือนให้คำนวณเป็นรายวันและให้หยุดจ่ายเมื่อผู้ประกันตนลาออก ถูกเลิกจ้าง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง
นอกจากนี้ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกันสังคมประกาศกำหนดพื้นที่และระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย และได้กำหนดให้ร่างกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวกระทรวงแรงงานได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว
โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิประมาณ 2,435 คน คิดเป็นเงินสิทธิประโยชน์ที่จะจ่ายให้ในกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดนมีจำนวนประมาณ 23.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับเงินกองทุนกรณีว่างงานที่มีเงินลงทุนสะสมรวมประมาณ 188,797 ล้านบาท ดังนั้น ในภาพรวมของการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานในคราวนี้ จึงไม่มีผลทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายกับเงินกองทุนประกันสังคมกรณีว่างงานอย่างมีนัยสำคัญ
Advertisement