เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 ก.ค. 68 ที่กระทรวงวัฒนธรรม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ประชุมติดตามมาตรการการรับมือและการช่วยเหลือของกระทรวงวัฒนธรรม ในการร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยจัดการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด
ต่อมาเวลา 15.30 น. น.ส.แพทองธาร แถลงว่า วันนี้จะมาขอย้ำ และยืนยันเรื่องแถลงการณ์ของรัฐบาลที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ถึงการกระทำของกัมพูชา เราถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง ตนขอย้ำอีกครั้ง ซึ่งวิธีการต่างๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ ขัดเรื่องมนุษยธรรมที่ประเทศไทยปฏิบัติมาตลอด ทางกัมพูชาก็ขัดในเรื่องนี้
สถานการณ์ความรุนแรงเป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำมาโดยตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของพี่น้องประชาชน นี่คือสิ่งที่เรายึดถือและพยายามอย่างที่สุดไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนกระทั่งฝ่ายกัมพูชาได้มีการยิงก่อนเมื่อวันที่ 24 ก.ค. และมีสำนักข่าวต่างประเทศหลายช่องทางตั้งข้อสังเกตที่เป็นหลักฐานที่มีการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียได้ว่า วันนั้นนักเรียนในโรงเรียนจังหวัดชายแดนของไทยยังไปเรียนปกติ ซึ่งสื่อต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าประเทศไทยรู้ว่าจะยิงก็คงให้หยุดเรียนแล้ว แต่ว่าทางกัมพูชารู้หรือไม่ว่าจะมีการยิงแบบนี้เกิดขึ้นเด็กนักเรียนถึงหยุดเรียน นี่ถือเป็นข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ถึงแม้ตนจะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ก็ได้มีการรับฟังอัปเดตสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีความเป็นห่วงพยายามที่จะติดตามโดยเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ได้พบคณะรัฐมนตรีช่วงที่ไปบันทึกเทป ซึ่งได้มีการสอบถามถึงสถานการณ์กับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งตัวรัฐมนตรีได้เน้นย้ำเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของประเทศไทยว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรามีพร้อม ทั้งนี้การที่เราได้ใช้ F16 ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบโต้ เพราะทางกัมพูชามีการยิงเข้าถึงแหล่งชุมชนที่มีทั้งลูกเด็กเล็กแดงอยู่ และเกิดผลกระทบกับชีวิต จริงๆ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป รัฐบาล กองทัพ ฝ่ายความมั่นคง จะประสานงานอย่างต่อเนื่องและดูเรื่องนี้อย่างรอบคอบทุกขั้นตอน ตอนนี้ถ้าถามว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อก็ต้องปล่อยให้ทางหน้างานดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อ แต่แน่นอนว่าเราจะพยายามให้ถึงที่สุดในการปกป้องอธิปไตยของเรา เพราะเราไม่เคยเริ่มก่อนเรายืนยันเสมอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่าเราไม่ต้องการความรุนแรง แต่ว่าเมื่อความรุนแรงมาถึงเราก็สู้ไม่ถอยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่รัฐบาล กองทัพ คุยกันและเน้นย้ำว่าไม่ต้องห่วง เราไม่ถอยจะสู้เต็มที่
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศได้แสดงหลักฐานความไม่ชอบธรรมของทางกัมพูชา ทั้งการละเมิดสนธิสัญญาหลักกฏหมายระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน และความไร้มนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบวางระเบิด ก่อนหน้านี้ทหารสองประเทศไทยและกัมพูชาได้มีการร่วมกันลาดตระเวนค้นหาระเบิดเก่าแต่ได้หยุดไป แต่ล่าสุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทหารได้รับบาดเจ็บ จากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดที่มีการวางใหม่ เป็นสิ่งที่ผิดหลักมนุษยชน ผิดหลักกฏหมายระหว่างประเทศอย่างยิ่ง ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้ เรื่องนี้มีหลักฐานครบถ้วนและกระทรวงการต่างประเทศได้ไปบอกให้ทั่วโลกได้รับทราบ และมีการยืนยันจากสื่อในหลายๆ ประเทศเขาเชื่อในสิ่งที่เราพูด เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยพูดความจริงในเรื่องนี้มาโดยตลอดและยืนยันในจุดยืนมาโดยตลอดว่าเราไม่ต้องการความรุนแรง เราไม่อยากให้เกิดความรุนแรง และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าความรุนแรงครั้งนี้กัมพูชาเป็นคนเริ่มร้อยเปอร์เซ็นต์
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จากสถานการณ์นี้ตนสนับสนุนให้คนไทยมีความสามัคคีกันในชาติ วันนี้เราทะเลาะกันในประเทศถึงระดับหนึ่งแต่วันนี้เราต้องรักกันและทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ถ้าเหตุการณ์สงบสุขเมื่อไหร่ความขัดแย้งภายในประเทศยังรอได้ แต่วันนี้รอไม่ได้แล้วที่เราทุกคนจะต้องร่วมมือกันจากทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยรักกันเองมาก
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในส่วนคำครหามากมาย ที่วิถีทางการเมืองพยายามใช้การปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความเกลียดชัง มีการเชื่อมโยงว่าสองตระกูลทะเลาะกัน แต่จำกันได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ตนได้มีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยได้สั่งการผ่านกระทรวงมหาดไทย ให้ตัดน้ำ ตัดไฟตั้งแต่ชายแดน ลาวกับพม่า และทำให้ได้ผลจริงๆ คอลเซ็นเตอร์ที่โทรหาประชาชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และมูลค่าความเสียหายที่ประเมินตัวเลขได้เยอะมาก ประชาชนที่ถูกหลอก จนต้องจบชีวิตตัวเอง หรือเงินหายไปจากบัญชีอย่างรวดเร็ว
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ซึ่งประเทศไทย ลาวและพม่าได้ทำภาคีร่วมกัน เพื่อจะแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ตนก็เกิดความสับสน เพราะตอนนั้นตนก็ยังติดต่อกับทางกัมพูชาในเรื่องสัมพันธ์ส่วนตัว และได้รับแจ้งจากคนที่แปลว่า เขาโกรธ ที่ไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับทางกัมพูชา ตนจึงโทรไปคุยส่วนตัว ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ถูกอัดเสียง ตนไม่ทราบว่า เป็นการเสียผลประโยชน์หรือไม่ เพราะเรื่องแก้ปัญหายาเสพติด และปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์เป็นหน้าที่รัฐบาลอยู่แล้ว เมื่อได้คุยกันแล้วก็ทราบว่า กัมพูชาไม่พอใจที่ไม่เชิญไปร่วมด้วย ตนก็เลยตอบกลับไปว่าจะบวกกัมพูชาร่วมไปด้วย แต่ทางกัมพูชากลับบอกว่าไม่ต้องบวก ให้มาทำกันแค่สองประเทศพอ ตนจึงให้ดำเนินการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ดังนั้นเมื่อพอกลับมานึกย้อน ก็รู้ว่าเป็นการแสดงความไม่พอใจตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าความไม่พอใจนี้ เป็นความไม่พอใจในการปราบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพราะตนไม่เคยทราบเลยว่าจะมีประเทศใดไม่พอใจ เมื่อประชาชนถูกหลอกและเอารัฐบาลมาช่วย ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ จึงทำให้รู้สึกว่าเราคงไปขัดผลประโยชน์บางอย่าง หรือไม่ จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตนก็ไม่แน่ใจ ซึ่งตนก็มั่นใจว่า รัฐบาลที่เข้ามาไม่ว่าจะใช้ตระกูลชินวัตรหรือไม่ ก็ต้องปราบเรื่องนี้เพราะเป็นผลกระทบต่อคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปราบเช่นเดียวกับยาเสพติด ไม่ทำก็ไม่ได้
เมื่อถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีบอกว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชารอไม่ได้ แต่ปัญหาการเมืองรอได้ หมายถึงหากจบปัญหาชายแดนจะปลดชนวนระเบิดการเมืองภายในประเทศด้วยตนเองใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร อธิบายว่า ตนหมายความว่า หาโอกาสทำร้ายฝั่งตรงข้ามทางการเมืองมาตลอด ตนเข้าใจการเมือง เพราะเคยเป็นฝ่ายค้านและวันนี้มาเป็นรัฐบาล ตนเข้าใจคู่แข่งมีทุกพื้นที่อยู่แล้ว แต่อยากจะเชิญชวนให้มาปกป้องกันเองก่อน เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน การที่เราปกป้องตัวเองก่อน ให้เขาเห็นว่าประเทศเราแข็งแรงมันเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารายงานทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การจะหาข้อมูลจากกัมพูชาก็เป็นไปได้ยากเหมือนกัน เพราะเขาคุมสื่อได้หมดหรือไม่ เขาคุมทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศเขาทั้งหมดได้หรือไม่ ก็ต่างกันแบบนี้เพราะจริงๆแล้ว ประเทศประชาธิปไตย เขาไม่ได้คุมสื่อหรืออะไรแบบนี้ แต่อยากบอกว่าขอให้รายงานสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศให้ได้มากที่สุด อยากให้ทุกคนร่วมมือกัน ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นการเมืองมากกว่านี้ การเมืองฝั่งตรงข้าม ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล สู้กันมาเสมอว่าเป็นเรื่องปกติของทุกประเทศ แต่เราจะต้องไม่สู้กันเอง จะต้องแข็งแรงเพื่อสู้กับประเทศที่เราเคยคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เราต้องสู้ตรงนั้น
ส่วนที่สื่อของกัมพูชานำเสนอภาพ ของนายกรัฐมนตรีและ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ขอให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศจดจำว่า 2 คนนี้ เป็นต้นเหตุของสงคราม นายกรัฐมนตรีย้อนถามว่า เราจะเชื่อในสิ่งที่กัมพูชาเสนออีกนานหรือไม่ อย่างเรื่องของตน เขาโพสต์ปล่อยคลิป แล้วเขาก็มาบอกว่าไม่ได้ปล่อย เขาอาจจะโพสต์รูปสาวสวยๆ แต่บอกว่าไม่ได้โพสต์ก็ได้ ไม่ได้ทำไปแล้วก็บอกว่าไม่ได้ทำทุกอย่าง เขาก็มีฉายาอยู่แล้ว Cambodia มีฉายา ซึ่งทั่วโลกก็ตั้งให้ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะถ่ายมือ และส่ายศีรษะปฏิเสธว่า " ดิฉันไม่ได้ตั้งให้" ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นแบบนั้น ตนจึงคิดว่าเราต้องมั่นใจ อย่าคิดว่าต้องใช้อารมณ์ ว่าเพราะต้องคนนั้นคนนี้ มันเกิดขึ้นเพราะกัมพูชา และเกิดขึ้นเพราะเราปราบคอลเซ็นเตอร์ มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่เราอย่าทำให้ขมุกขมัว มันก็อยู่ที่เรา ซึ่งตนมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่ตระกูลชินวัตร เข้ามาทำ ก็ต้องปราบคอลเซ็นเตอร์ ก็ต้องปราบยาเสพติด ปรับอบายมุขเช่นกัน เพราะนี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ ก่อนย้ำว่าตนไม่เสียใจเลยที่ทำการปรับคอลเซ็นเตอร์ เพราะนั่นช่วยคนได้เยอะมาก ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และได้ผลจริงๆ ตนคิดว่าไม่ใช่แค่ประเทศเราไม่เสียใจเรื่องนี้ ทุกประเทศก็คิดแบบนี้ ยกเว้นประเทศที่เสียผลประโยชน์เท่านั้น
เมื่อถามว่า ครั้งนี้ถือว่า "ชินวัตร" ช้ำหนักหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่คิดว่า "ชินวัตร" ช้ำหนัก ในเรื่องนี้เลย เพราะเราทำเพื่อประเทศ การถูกบิดทางการเมือง ถูกใส่ความ ตนจึงอยากให้หยุดเรื่องนี้ก่อน เพราะมันไม่ใช่ เพราะตั้งแต่สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ส่วนตัวดีมาก แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นนายทักษิณก็เอาเรื่องของประเทศมาก่อนอยู่ดี ไม่มีการบอกว่าเป็นเพื่อนกันไม่ทำร้ายกัน แต่ต้องเอาเรื่องของประเทศก่อน
ส่วนที่พรรคฝ่ายค้านเสนอว่า ให้นำเรื่องสมเด็จฯ ฮุนเซน ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ฐานอาชญากรรมสงคราม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ทุกฝ่ายแนะนำเรื่องระหว่างประเทศเข้ามา กระทรวงการต่างประเทศต้องรับไปพิจารณา ว่ามีเรื่องใดที่เหมาะสม หรือควรทำ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ประสานเรื่องนี้อยู่ ตนก็ได้รับการรายงานจากรัฐมนตรี ตนก็เป็นห่วงและได้โทรคุยบ้าง แต่แผนการในช่วงนี้ขอให้ถามไปยังนายภูมิธรรม เพราะตนต้องขอตอบแค่ในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม แต่ครั้งนี้เป็นเพียงการเน้นย้ำข้อความของรักษาการนายกรัฐมนตรี ที่แถลงไปเมื่อวานนี้ และอธิบายว่าขณะที่ตนทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากนี้ไปคงไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียังปฏิเสธการตอบคำถามว่าเหตุปะทะชายแดนไทย – กัมพูชาจะยืดเยื้อออกไปหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้มีการขยายวงกว้างพื้นที่การปะทะ มายังภาคตะวันออกบริเวณ จ.สระแก้ว และตราดแล้ว
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธารยังให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ โดยยืนยันว่าประเทศไทยใช้ความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชา ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราพยายามรักษาสันติภาพ และป้องกันอันตรายให้กับประชาชนทั้งสองฝั่ง เรายังได้พยายามจัดให้มีการเจรจาเพื่อสันติภาพ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายกัมพูชามากนัก จึงได้มีการนัดพูดคุยเพียง 1 ครั้ง และสถานการณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
เราพยายามโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชามาร่วมกันแก้ปัญหา แต่เราก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเขามีอะไรอยู่ในใจ นอกเหนือจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือไม่ หากได้ติดตามข่าวสารจากทั่วโลกก็จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยได้ใช้ความอดทนมาอย่างยาวนาน เราไม่ได้ต้องการเริ่มโจมตีแต่อย่างใด แต่เมื่อมีการมุ่งโจมตีมายังประชาชนของเรา เราจึงต้องปกป้อง และเรายังหวังจะร่วมมือกับประชาคมโลก เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคอลเซ็นเตอร์ที่ดำเนินไปได้ด้วยดี มีหลายประเทศ รวมถึง UN ที่ต้องการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่าด้วยการดำเนินการนี้ ได้ไปทำลายบางสิ่งในประเทศของพวกเขาหรือไม่ ถ้าพวกเขาไม่ได้สูญเสียอะไร แล้วเหตุใดจึงต้องดำเนินการเช่นนี้ เราต้องการเชิญให้ทั่วโลกร่วมกันตั้งคำถามกับพวกเขาว่า นี่เป็นการกระทำที่เหมาะสมแล้วหรือไม่
น.ส.แพทองธาร ย้ำด้วยว่า เราพยายามตั้งมั่นอยู่ในสันติภาพ และพยายามพูดคุยกับทั้งสองฝ่ายในทุกระดับ แต่เราได้รับเพียงการตอบสนองที่ไม่จริงใจจากกัมพูชา โลกของเราจึงเล็กลงไปทุกวันๆ และพวกเขายังมีหลักฐานมากมายที่ต้องการการพิสูจน์
Advertisement