นายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชาคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญของ ฮุน เซน ที่ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 28 มิถุนายน ระบุว่า ว่า การที่ฮุนเซน แสดงความโกรธต่อประเทศไทยไม่ใช่การแสดงความรักชาติ แต่เป็นปฏิกิริยาส่วนตัวที่หยั่งรากลึกในความกลัว
เพราะเขากำลังวิตกกังวลต่อความเป็นไปได้ที่ระบอบของเขา ซึ่งพัวพันอย่างลึกซึ้งกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติจะล่มสลาย ความโกรธแค้นเดือดดาลของ ฮุน เซน ต่อประเทศไทยในขณะนี้ ไม่ได้เกิดจากความภาคภูมิใจในชาติ แต่มาจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อแหล่งรายได้ผิดกฎหมายที่หล่อเลี้ยงอำนาจของเขา นั่นคือเครือข่ายอาชญากรรมที่ถูกควบคุมโดยมาเฟียจีน และดำเนินการอยู่ตามแนวชายแดนกัมพูชา ซึ่งเครือข่ายเหล่านี้กำลังเผชิญกับการปราบปรามจากเจ้าหน้าที่ของไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การต่อต้านไทยของ ฮุน เซน เป็นเพียงฉากบังตาทางการเมืองที่เขาสร้างขึ้น เขาจะพยายามอ้างว่าข้อพิพาทดังกล่าวเป็นความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติ
แต่แท้ที่จริงแล้วเบื้องหลังความไม่พอใจของเขาคือ ความพยายามอย่างจริงจังของไทยในการทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บหลอกลวงออนไลน์ที่ดำเนินการโดยชาวจีน ที่มีฐานที่มั่นในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนผิดกฎหมายที่สำคัญสำหรับระบอบการปกครองของกัมพูชาในปัจจุบัน
การดำเนินการที่ผิดกฎหมายและการหลอกลวงเหล่านี้ คาดว่าสร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP ของกัมพูชา และได้รับการปกป้องคุ้มครอง โดยผู้มีอิทธิพลในรัฐกัมพูชา รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของ ฮุน เซน
เมื่อแหล่งรายได้ดั้งเดิม เช่น การแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและการให้สัมปทานที่ดิน หมดลงและถูกทำลายจากการคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบอบการปกครองของฮุน เซน จึงยิ่งพึ่งพากิจกรรมจากอาชญากรรมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
การกวาดล้างของไทย คือการโจมตีโดยตรงต่อเส้นเลือดใหญ่ทางการเงินนี้ ฮุน เซน จึงตอบโต้ด้วยการหันมาใช้วาทกรรมปลุกกระแสชาตินิยมอีกครั้ง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน และรวบรวมแรงสนับสนุน
กลวิธีนี้ไม่ใช่ของใหม่ ในปี 2003 ฮุน เซน เคยปลุกกระแสเกลียดชังไทยด้วยข้อกล่าวหาเท็จต่อดาราไทย จนนำไปสู่เหตุจลาจลร้ายแรงในพนมเปญ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต ในปี 2011 เขาใช้ความขัดแย้งบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อกลบกระแสความไม่พอใจภายในประเทศ ทั้งสองกรณีนี้ วาทกรรมชาตินิยมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปกปิดความเปราะบางและอ่อนแอทางการเมืองของเขา
ความโกรธแค้นแบบเลือกปฏิบัติของเขายังแสดงให้เห็นประเด็นที่มีความสำคัญเช่นกัน เพราะในขณะที่เขาประณามไทยอย่างเปิดเผยและรุนแรง แต่ ฮุน เซน กลับนิ่งเฉยต่อปัญหาด้านเขตแดนที่อ่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสำคัญมาอย่างยาวนานของเขา แม้ว่าประชาชนกัมพูชา มีความกังวลในเรื่องนี้มาอย่างยาวนานก็ตาม
โดยสรุปแล้ว การระเบิดอารมณ์ของ ฮุน เซน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปกป้องอธิปไตยของกัมพูชา แต่เป็นเรื่องของการรักษาเครือข่ายการเงินที่ฉ้อฉล ซึ่งช่วยให้ระบอบการปกครองของเขาดำรงอยู่ต่อไปได้
ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องสนับสนุนความพยายามในการรื้อถอนเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพนมเปญก็ตาม
Advertisement