รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “คลุกวงใน ถามตรง ถามจริง” ในประเด็นวิกฤตชายแดนไทย-เขมรจะเป็นอย่างไรว่า กัมพูชามีสัญชาตญาณที่เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติในการบริหารจัดการด้านความมั่นคงของไทยมาเป็นเวลานานแล้ว ในอดีตการประสานงานระหว่างกัมพูชากับกองทัพไทยมีความชัดเจนและเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลกัมพูชาเริ่มจับสัญญาณได้ถึงความล่าช้าและความไม่ชัดเจน ในนโยบายด้านความมั่นคงของไทย
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ผู้นำกัมพูชามีกับอดีตผู้นำไทยหลายท่าน รวมถึงผู้นำคนปัจจุบัน อาจทำให้พวกเขารับรู้ถึงสถานการณ์ภายในของไทย ทั้งในเรื่องของความกังวลทางเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งหมดนี้ โดยจะขอเรียกว่า "สามง่าม"
ซึ่ง "สามง่าม" เป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและได้รับการตกผลึกมาอย่างดี โดยจะขับเคลื่อนไปพร้อมกันในสามด้านหลัก ได้แก่ การทหาร การทูต และเศรษฐกิจ สิ่งที่น่าสังเกตคือ นโยบายนี้ถูกขับเคลื่อนโดยผู้นำเพียงคนเดียว ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ชูหอกสามหัวเพียงผู้เดียว ในทางกลับกันประเทศไทยก็มี "หอกสามหัว" ที่มาจากตำราเดียวกัน แต่มีผู้ถือหลายคน โดยแต่ละคนถือด้ามเล็กๆ ทำให้แรงขับเคลื่อนไม่เท่ากัน
รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนนโยบายนี้ในกัมพูชาคือ ประธานคณะองคมนตรี หรือที่อาจเรียกว่าประธานประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่ควบคุมทุกอย่าง เขาอยู่ในช่วงปลายของยุคสมัยและกำลังเตรียมส่งมอบมรดก ในเรื่องการทำให้ประเทศเป็นปึกแผ่น
ในประเด็นที่มีการเชื่อมโยงถึงบทบาทของจีนได้อ่านแถลงการณ์จากทางการจีนเพื่อทำความเข้าใจว่าจีนจะทำอย่างไร จีนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความเข้มแข็งของหลายประเทศในฐานะ "หลังบ้าน" ดังเช่นที่ปรากฏในเมียนมา อย่างไรก็ตามจากแถลงการณ์ดูเหมือนว่าพวกเขาก็มีความกังวลต่อสถานการณ์นี้เช่นกัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าคนไทยจะรู้สึกอย่างไรต่อบทบาทของจีนในประเด็นนี้
“ประเด็นที่จะต้องถามจีนคือตกลงจะทำยังไง จะอยู่กันยังไง เราไม่ได้ขอให้จีนเลือกข้าง เพราะเขาเลือกไปแล้วเขาอยู่กับกัมพูชาแน่ แต่ว่าจะอยู่กันยังไงให้ดีกว่านี้ กับไทยมันก็มีความไม่แน่ใจหลายๆ อย่างระหว่างไทยกับจีน” รศ.ดร. ปณิธาน กล่าว
รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็กินใจกันหลายเรื่องระหว่างไทยกับจีน สิ่งที่น่าสังเกตคือในช่วงที่ผ่านมาจีนได้เดินทางเยือนประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งในภูมิภาค แต่กลับไม่ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งๆ ที่ได้มีการเชิญไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องเหล่านี้กำลังถูกจับตา โดยเฉพาะวันครบรอบความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
เป็นที่เข้าใจกันว่าจีนไม่ได้เพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อาจอยู่ในสถานะควบคุมได้ไม่ทั้งหมด โดยเป้าหมายหลักของจีนคือความสงบเรียบร้อย เพื่อส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจจีนไม่ได้ต้องการสร้างปัญหา แต่ต้องการความมั่นคงเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ดังนั้นการหารืออย่างจริงจังกับจีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจีนอาจจะควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็มีศักยภาพในการกดดัน ซึ่งเห็นได้จากการที่ท่าทีทางการทหารของกัมพูชาเริ่มอ่อนลงในปัจจุบัน
เป้าหมายปลายทางของกัมพูชาคือการได้เปรียบเรื่องดินแดน โดยมีผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเป็นปัจจัยระหว่างทาง และแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดคือการเมือง การสร้างคะแนนเสียง และการกำจัดศัตรูคู่แข่งไปพร้อมกัน
รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดของกัมพูชาไม่ได้บ่งชี้ถึงการเสียดินแดนของเราโดยตรง แต่เป็นการขยับเพื่อสร้างความได้เปรียบ ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังที่ปรากฏชัดเจนในคดีปราสาทพระวิหารที่ความได้เปรียบส่งผลอย่างมากต่อคำตัดสินของศาล นี่คือเหตุผลสำคัญที่อธิบายได้ว่าทำไมกัมพูชาจึงต้องการนำประเด็นนี้ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พวกเขากำลังสะสมแต้มและหลักฐาน ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความได้เปรียบในทุกวิถีทาง
นับตั้งแต่การจัดตั้งโครงสร้าง JBC และ RBC ตลอดช่วงเวลากว่า 30 ปี รวมถึงความตกลง MOU ปี 2543 ที่ดำเนินมากว่า 20 ปี ส่งผลให้พวกเขามีความชำนาญในการจับสัญญาณและเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวในครั้งนี้กลับมีลักษณะผิดปกติอยู่บ้าง เนื่องจากเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพร้อมกันในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจสะท้อนถึงสัญญาณบางอย่างที่ควรจับตามองอย่างใกล้ชิด
การใช้กำลังทางทหารนั้นขึ้นอยู่กับคำสั่งจากบุคคล 3 คน คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก และแม่ทัพ หากรัฐบาลไม่ได้มีคำสั่งก็จะไม่มีการเคลื่อนกำลัง ที่ผ่านมาแม้จะมีการประท้วงเกิดขึ้นมากกว่า 400 ครั้ง แต่เหตุการณ์ปะทะที่รุนแรงจริง ๆ มีเพียงไม่กี่ครั้ง โดยเฉพาะในปี 2554 ที่สถานการณ์รุนแรง ฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิตหลายร้อยคน ขณะที่ฝ่ายไทยสูญเสียน้อยกว่า
สถานการณ์ในขณะนี้เริ่มคลี่คลายลง แต่ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ฝ่ายเขมรขยับรุกล้ำเข้ามา หากเกิดการเคลื่อนไหวจริงอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการกดดันและใช้กำลังเพื่อรักษาแนวชายแดน โดยต้องไม่ล้ำเส้นเข้าไปในฝั่งของกัมพูชา และหากมีเหตุให้ต้องปะทะกันจริง ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จะเป็นช่องทางในการเจรจาที่ดี แต่ยังคงมีจุดเสี่ยงอื่น ทางฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมรับแผนที่บางชุด โดยเฉพาะ MOU 43 และแผนที่ L7017 ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการหาข้อยุติร่วมกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อเสนอให้พิจารณายกเลิก MOU 43 และ MOU 44 รวมถึงยุติบทบาทของคณะกรรมการร่วมในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ JBC, GBC, RBC และ TBC แล้วกลับไปใช้สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศสเป็นหลักในการเจรจาแทน
แนวทางการยกเลิกกลไกต่าง ๆ ถือเป็นมาตรการที่แรงและต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะกระบวนการเจรจาที่ดำเนินมากว่า 30 ปี ไม่ควรถูกล้มเลิกไปโดยง่าย อย่างไรก็ตามอาจจำเป็นต้องมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถดำเนินงานได้อย่างคล่องตัวกว่าเดิม
ในส่วนที่มีข้อสังเกตว่า หลักเขตแดนไทย-กัมพูชาทั้ง 73 หลัก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีถึงตราด โดยเฉพาะหลักที่ 73 ซึ่งชี้ลงทะเล มีแนวโน้มเบี่ยงเข้ามาฝั่งไทย ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเขมรพยายามขยับแนวเขต เพื่อให้ได้พื้นที่ทางทะเลและทรัพยากรพลังงานเพิ่มขึ้น
ประเด็นนี้มีข้อสงสัยว่า แผนที่ที่จัดทำในยุคฝรั่งเศสไม่มีการปักหลักเขตแดนจริง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเดินทางยาก และยังไม่มีเทคโนโลยีแผนที่ทางอากาศที่แม่นยำ ส่งผลให้เกิดปัญหาเมื่อเกิดสงครามในกัมพูชาและอินโดจีน หลักเขตแดนหลายจุดถูกทำลาย ฝ่ายไทยจึงตั้งหลักชั่วคราวไว้ ขณะที่กัมพูชายังไม่สามารถจัดการได้ เพราะยังอยู่ในภาวะสู้รบภายในประเทศ
รศ.ดร. ปณิธาน อธิบายว่า ในช่วงที่ผ่านมากัมพูชาเคยโต้แย้งว่าไทยเป็นฝ่ายตั้งหลักเขตเองโดยพลการ ขณะที่ฝ่ายไทยชี้แจงว่าเป็นเพียงการปักหลักชั่วคราวเพื่อกำหนดแนวเขตให้ชัดเจนเท่านั้น ปัจจุบันกัมพูชาสามารถตั้งหลักได้แล้ว แต่กลับขยับแนวและประท้วงว่าไทยย้ายหลักออกจากจุดเดิม พร้อมเรียกแผนที่ไทยว่า “แผนที่โจร” แม้แต่ผู้นำระดับสูงของกัมพูชาก็ใช้ถ้อยคำเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับแนวเขตที่ไทยกำหนด
จึงมีข้อเสนอให้กลับมาเจรจากันใหม่ทั้งหมด โดยไม่ยึดแผนที่ใดแผนที่หนึ่งเป็นหลัก แต่ใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศหลายระดับ เช่น 1:2,000 / 1:25,000 / 1:50,000 และ 1:100,000 เพื่อหาจุดกึ่งกลางร่วมกัน จากนั้นจึงเดินหน้าไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต่อไป
ในการขึ้นศาลระหว่างประเทศครั้งที่สอง ไทยได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจัดทำแผนที่ภูมิประเทศอย่างละเอียด พร้อมชี้แจงต่อศาลว่าแผนที่ไทยแตกต่างจากของฝรั่งเศส เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก ศาลจึงมีคำแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเองว่าแต่ละหลักเขตควรอยู่ตรงจุดใด ปัจจุบันกัมพูชาได้นำแผนที่ในบริเวณชายแดน จ.สระแก้ว ไปใช้เป็นฐานตั้งหลัก ปลูกสร้างหมู่บ้าน สร้างตลาด วัด และชุมชน พร้อมตัดถนนลาดยางหลายสายในพื้นที่ดังกล่าว
เดิมทีกัมพูชาไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะดำเนินการก่อสร้าง แต่ปัจจุบันได้ทำจริงขึ้นมาแล้ว ขณะที่ไทยประท้วงมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้การขยายตัวเหล่านี้หยุดชะงักอยู่ในพื้นที่นั้น อย่างไรก็ตามไทยยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายหมู่บ้านหรือสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ได้ สถานการณ์ที่ประสาทพระวิหารก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้ยังต้องมีการเจรจาและปรับแนวเขตแดนกันต่อไปในอนาคต
สำหรับคำถามที่ว่าทำไมไทยไม่ดำเนินการอย่างจริงจังในสถานการณ์นี้ เพราะการใช้กำลังต้องได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการ หากต้องการประท้วงก็ทำได้ตามแนวทางเดิม ซึ่งไทยก็ยังยึดหลักการประท้วง แต่ฝ่ายกัมพูชากลับลุกขึ้นดำเนินการเอง หากจะเปลี่ยนนโยบายเป็นลุกขึ้นตอบโต้ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะยังไม่มีการสรุปชัดเจนว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ เหมือนกับการบุกรุกก่อนที่ศาลจะตัดสิน สถานการณ์นี้ยังไม่ถึงขั้นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถือครองพื้นที่อย่างเป็นทางการ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับความจริงนี้ เพราะหากอธิบายแบบนี้ก็เหมือนตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีทหาร
โดยภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถือว่าดี หากไม่มีความซับซ้อนหรือลักลอบแทรกแซงผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความสัมพันธ์นี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากกัมพูชาได้รับสัญญาณผิด ๆ ว่าไทยคุยแต่ไม่จริงจัง ไม่ใช้กำลัง หรือไม่กดดันอะไรเลย ก็อาจทำให้ฝ่ายเขาได้ใจและกล้าแสดงท่าทีรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
หากเกิดการรบจริง ๆ ไทยต้องระดมกำลังถึง 3-4 แสนคน ขณะที่กัมพูชาอาจระดมได้ประมาณ 2 แสนคน ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของไทย แม้ยุทโธปกรณ์ของไทยจะเหนือกว่ากัมพูชา 2-3 เท่า แต่กัมพูชาก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน จึงต้องระวังเป็นพิเศษ หากปะทะรุนแรงจนกลายเป็นสงครามใหญ่ การสู้รบจะยืดเยื้อไม่ได้มากนัก และมีแนวโน้มที่มหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซง โดยอาจสนับสนุนหรือผลักดันให้เรื่องเข้าสู่เวทีสหประชาชาติ
ในกรณีที่มีคนเสนอแนวทางดีๆ เช่น การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะบริเวณที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน บ่อนพนัน หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่ง 90% มาจากฝั่งกัมพูชา ทำไมรัฐบาลจึงยังไม่ดำเนินการจัดการเรื่องนี้ก่อน เพราะว่าแม้ที่ผ่านมาแนวทางนี้ยังทำได้ไม่เต็มที่และผลลัพธ์ยังไม่ตรงเป้า เช่นกรณีพม่าที่ตัดเน็ตส่งผลกระทบประชาชนถึง 70% อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องมีการซักซ้อมและฝึกความชำนาญในการควบคุมพลังงาน อินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคให้ดีขึ้น เพราะการตัดสัญญาณดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนและประชาชนไทยด้วย
แม้ในช่วงแรกผลลัพธ์อาจไม่เต็มที่และซับซ้อนกว่าเพราะเป็นประเทศใหญ่กว่า แต่เราต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เริ่มจากการควบคุมพลังงาน ควบคุมด่านและการเข้าออก ขณะนี้กัมพูชาโต้กลับด้วยการลดระยะเวลาที่คนไทยเข้าอยู่จาก 30–60 วัน เหลือเพียง 7 วัน แต่ในเรื่องการตัดสัญญาณเน็ตและพลังงาน พวกเขาตอบโต้น้อยเพราะยังพึ่งพาไทย กัมพูชาอาจตอบโต้ด้วยวิธีอื่น ซึ่งเราไม่ควรประมาทเพราะฝ่ายเขามีวิธีตอบโต้หลากหลายเช่นกัน
ทางรัฐบาลไทยมีมติไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก แต่หากไม่เข้าร่วมกระบวนการ จะส่งผลอย่างไร คำตอบคือไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ และศาลโลกก็เป็นองค์กรหนึ่งภายใต้สหประชาชาติ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปฏิเสธสหประชาชาติทั้งหมดได้ ในส่วนของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเคยแนะนำให้ไทยกลับไปใช้กลไกที่มีอยู่ ซึ่งเราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการประณามหรือคว่ำบาตรจากนานาชาติ แต่ถ้าไม่เข้าร่วมก็ต้องมีทางเลือกอื่นเพื่อเสนอแก่สหประชาชาติต่อไป
Advertisement