วันที่ 23 ก.ย. 68 จากกรณีชาวเน็ตแห่จับตาดรามาระหว่าง เม พรีมายา กับ คลินิก Dermatige Aestheticsนั้น
ล่าสุดเฟซบุ๊กเพจ “อรรถรส” โพสต์ข้อความสรุปเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่า “ศึกเดือด! เม พรีมายา VS คลินิก Dermatige Aesthetics เมื่อฝั่งเมออกมาโพสต์–ทางด้านคลินิกก็ออกแถลงการณ์สวนกลับ”
สรุปโพสต์ของแต่ละฝ่าย ขอใช้ภาษาแบบอ่านเข้าใจง่าย เพราะแต่ละฝ่ายค่อนข้างยาวนะคะ
ฝั่งเม พรีมายา
· เมยืนยันว่า คลินิกที่ทุกคนเห็นสองชื่อนั้น จริงๆ คือ คลินิกเดียวกัน เป็นบริษัทที่เมร่วมก่อตั้ง เพียงแต่มีการเปลี่ยนชื่อและรีแบรนด์เพื่อการตลาด หลังเกิด crisis ของเมในตอนนั้น
· เมระบุว่า ในฐานะผู้ถือหุ้น ได้พยายามขอตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและการเงินของบริษัท แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ จนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของกิจการที่ตัวเองร่วมสร้างได้
· เมเล่าว่าเมื่อแจ้งความประสงค์จะกลับไปถือหุ้นตามเดิม กลับเจอเงื่อนไขใหม่ เช่น
· ต้องให้คนอื่นถือหุ้นแทน และไม่สามารถออกหน้าได้
· หากบริหารต่อ จะได้หุ้นคืน 25% เฉพาะสาขาเดิม ไม่นับสาขาใหม่ และห้ามออกหน้า
· หากไม่บริหารต่อ จะเหลือหุ้น 12.52% ครอบคลุมทุกสาขา แต่ก็ห้ามออกหน้าเช่นกัน
· เมมองว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การถือหุ้นที่มีนัยสำคัญ และยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินบริษัทที่กำลังขอความชัดเจนทางกฎหมาย
· เมบอกว่าที่เล่าออกมาเป็นเพียงมุมมองและประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อถามหาหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความเป็นธรรมของการทำธุรกิจร่วมกับพาร์ทเนอร์ พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจ
ฝั่งคลินิก Dermatige Aesthetics
· คลินิกออกแถลงการณ์ โดยยืนยันว่า สิ่งที่ถูกกล่าวพาดพิงในโซเชียลมีเดีย เป็นข้อมูลบิดเบือน สร้างความเสียหายต่อแบรนด์ โดยศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีมีมูลไปแล้ว 1 คดี
· คลินิกอ้างว่า ช่วงปี 2566 ตอนยังใช้ชื่อแบรนด์เดิม บุคคลดังกล่าว มีปัญหาส่วนตัวจนเป็นข่าวเสียหาย ส่งผลให้ยอดขายตก ลูกค้าไม่ใช้บริการ ต้องปิดบางสาขา
· ต่อมา อีกฝ่ายได้เสนอขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นที่เหลือทั้งหมด และลาออกจากการเป็นกรรมการในที่ประชุมวิสามัญ เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการไม่ดี จึงยุติกิจการ พริมยา คลินิก (แบรนด์เดิม)
· ผู้ถือหุ้นที่เหลือจึงสร้างแบรนด์ใหม่ในชื่อ Dermatige Aesthetics เพื่อกู้วิกฤติ และบริหารมาจนถึงปัจจุบัน โดยยืนยันว่า อีกฝ่ายไม่ได้เกี่ยวข้องหรือช่วยแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด
· คลินิกชี้ว่า อีกฝ่ายกลับให้ข้อมูลเท็จ–แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวน และพยายามสร้างความเสียหายหลายครั้ง จนไม่สามารถวางเฉยได้ จึงต้องดำเนินคดีทางกฎหมาย
· ยืนยันว่าหลักฐานที่เมนำมาเผยแพร่ แตกต่างจากเอกสารจริงที่ใช้ในศาล และไม่เป็นความจริง พร้อมย้ำว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และทองแท้ไม่กลัวไฟ”
· ตอนนี้ทั้งสองฝั่งต่างมีเอกสาร–แถลงการณ์ของตนเอง ใครถูก ใครผิด คงต้องรอหลักฐานและกระบวนการยุติธรรมตัดสิน งานนี้ต้องจับตาต่อ!
ขณะที่ชาวเน็ตเสียงแตกแห่คอมเมนต์ให้กำลังใจทั้งสองฝ่าย
ขอบคุณข้อมูล : เพจ “อรรถรส”
Advertisement