เมื่อวันที่ 3 ก.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายัง ซอยพหลโยธิน 11 เป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิด-19 ของทีมงาน เส้นด้าย – Zendai ได้พูดคุยกับนายกมลรรค อนุสรณ์วีรชีวิน หรือ “มะห์มุด” อายุ 41 ปี อาสาเส้นด้าย เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่ตนอายุ 15 ปี นับว่าเป็นวัยรุ่นที่อยากรู้อยากลอง เล่นยาเสพติด เสพยาเสพติด แต่เงินไม่พอซื้อเสพ จึงหาช่องทางค้าขาย เริ่มต้นได้เงินไม่มากนัก แต่เมื่อขายในปริมาณที่มากขึ้น เริ่มมีรายได้ กระทั่งอายุ 19 ปี เริ่มจริงจังกับการค้าขายยาเสพติด ตลอดระยะเวลา 3 ปี จนถึงอายุ 22 ปี ก็โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ในที่สุด
นอกจากนี้ กลุ่มของตนถูกจับมาทั้งหมดด้วยกัน 3 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมัดมือไพล่หลัง นำผ้าปิดตา ไปยังเซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง โดยจะจับแยกผู้ต้องหาทุกคนไว้คนละห้อง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเค้นหาความจริงเพื่อให้ทราบถึงต้นตอของยาว่ารับจากที่ไหน หรือรับจากใคร ซึ่งตนก็ไม่สามารถตอบได้ จึงโดนเจ้าหน้าที่ทำแทบทุกวิถีทาง ทั้งซ้อม เตะ ต่อย นำสมุดหน้าเหลืองวางไว้ที่อกแล้วเอาค้อนทุบ และใช้ถุงคลุมหัวเช่นกัน แต่ตนยังโชคดีที่ยังไม่โดนเครื่องช็อตไฟฟ้าในยุคนั้น
ในเดือน ก.พ.2544 หลังจากนั้นตนใช้ชีวตอยู่ภายในเรือนจำนครนายก โดยได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่ตนประพฤติดีมาโดยตลอด เป็นเจ้าหน้ามี่ฝ่ายเอกสารให้กับภายในเรือนจำ และอยู่ภายในเรือนจำเป็นระยะเวลา 15 ปี ยอมรับว่าลำบากมาก ๆ ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องของยารักษาโรค ชีวิตประจำวัน ซึ่งก็พยายามอยู่ภายในนั่นให้ได้
กระทั่งวันที่ 15 ธ.ค.2559 เจ้าหน้าที่ประกาศรายชื่อปล่อยตัวนักโทษ ในวันที่วันที่ 30 ธ.ค.2559 ตนจะได้รับการปล่อยออกจากเรือนจำ ยอมรับว่าตื่นเต้น นอนไม่หลับ ตนไม่คาดหวังว่าจะได้ออกมายังโลกภายนอกอีกครั้ง ซึ่งตนดีใจจนพูดไม่ออก ไม่สามารถบรรยายอะไรได้ ชีวิตตนนั้นเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เพราะว่าชีวิตที่อยู่ในเรือนจำนั้น เหมือนชีวิตของคนตายไปแล้ว
ในวันแรกที่ก้าวขาออกจากเรือนจำ ตนได้สูดอากาศบรรยากาศนอกเรือนจำ นับได้ว่าเป็นคนละความรู้สึกแตกต่างจากการอยู่ข้างใน ยอมรับว่างง ๆ ไม่กล้าก้าวขาข้ามถนน กลัวชีวิตตัวเอง รักชีวิตมากขึ้น อีกทั้งความทุกข์ที่เคยมีในใจ เหมือนปลดออกจากอกไปทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่ตนตัดสินใจมาร่วมกับเส้นด้ายนั้นเนื่องจากชุมชนที่บ้านของตนเริ่มมีผู้ป่วยมากขึ้น จึงตัดสินใจว่าต้องช่วยเหลือชุมชน และได้เข้าร่วมกับอาสาเส้นด้าย เมื่อเดือน พ.ค.2564 เป็นระยะเวลา กว่า 3 เดือนแล้ว
ทั้งนี้ ตนได้ช่วยเหลือคนไปแล้วกว่า 40 เคส ตั้งแต่นั้นมาตนยอมรับว่า “การช่วยเหลือผู้คนเรียกว่าเข้ากระดูกไปแล้ว” ตนยืนยันว่าจะช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ผู้ป่วยอย่างเต็มที่ ตอนนี้ตนยังไม่มีแนวโน้นในการเปลี่ยนงาน “อยากจะทำงานช่วยเหลือเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าหากเชื้อโรคยังไม่หยุด ผมจะทำการช่วยเหลือจนตัวเองอาจจะตายไปก่อนโรคระบาด ผมก็ไม่ยอมหยุดอย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม หลังจากออกจากเรือนจำ ตนอยากจะบอกว่าคนที่ต้องคดีและเคยอยู่ในเรือนจำนั้น เมื่อหลับออกมามักจะไม่มีใครรับเข้าทำงาน แต่ตนยังโชคดีที่ครอบครัวทำอาชีพค้าขาย พอมีรายได้อยู่บ้าง จึงอยากวิงวอนไปถึงผู้ประกอบการให้เปิดโอกาส อยากให้ช่วยพิจารณาในส่วนนี้ เพราะตนเชื่อว่าอดีตผู้ต้องขังที่ออกมานั้นพร้อมที่จะเป็นคนดีคนใหม่
ในวันนี้นายมะห์มุด นำทีมเตรียมอุปกรณ์ พร้อมเครื่องผลิตออกซิเจนและถังออกซิเจน เพื่อเข้าช่วยเหลือครอบครัวผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่ไปด้วย ซอยรามคำแหง 185 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กทม. จึงทราบว่าห้องหลังดังกล่าวมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมด 3 ราย
1.นางบุญมี อายุ 51 ปี ปัจจุบันมีอาการไอ มีเสมหะเล็กน้อย มีไข้ อาการเหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย ทานไม่ได้
2.น.ส.อภิชญา อายุ 18 ปี เป็นออทิสติก มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ปัจจุบันไอ มีเสมหะเล็กน้อย มีไข้ อ่อนเพลีย
3.ด.ช.ภลเทพ อายุ 12 ปี เป็นออทิสติก อาการปกติ
โดยมีทีมแพทย์ และอาสาเส้นด้าย เข้าตรวจวัดชีพจร ตรวจดูอาการภายในบ้านหลังดังกล่าว ในเบื้องต้น ผู้ป่วยอาการหนักมีเพียงแม่ของเด็ก แต่เนื่องด้วยผู้ป่วยอีก 2 รายเป็นออทิสติก จึงจำเป็นต้องประสานยัง รพ.นวมินทร์ เพื่อให้เข้ารับตัวผู้ป่วยทั้ง 3 ภายในวันนี้ โดยอาสาเส้นด้ายยังคงจะต้องนำส่งตัวผู้ป่วยให้กับโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาต่อไป
นายภูวกร ศรีเนียน หนึ่งในผู้ก่อตั้งเส้นด้าย กล่าวว่า นายกมลรรค อนุสรณ์วีรชีวิน หรือ “มะห์มุด” อายุ 41 ปี เดิมทำงานกับเส้นด้ายมานาน 3 เดือน เป็นชาวบ้านชุมชนในราชเทวี และเส้นด้ายมีเครือข่ายในพื้นที่บริเวณดังกล่าว จึงได้ขอให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมอาสาเส้นด้าย
โดยตนคุ้นเคยสนิทกับนายมะห์มุด เป็นอย่างมาก เนื่องจากทำงานร่วมกัน เขาเป็นคนที่ขยันจริงจังกับการทำงาน และหามรุ่งหามค่ำในการการช่วยเหลือผู้คน ที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับผู้ต้องหายาเสพติดและใช้วิธีการนอกกฎหมาย ใช้ถุงดำคลุมหัวและเสียชีวิต จู่ ๆ นายมะห์มุด ก็เดินเข้ามาหาตนแล้วบอกว่า “พี่ ผมก็เคยโดนแบบนั้นเหมือนกันนะ”
ทั้งนี้ ตนจึงได้นั่งคุยกันจึงทราบว่า เขาเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ติดคุกนาน 15 ปี แต่โทษที่ยังไม่ได้ลด คือ โทษประหารชีวิต ซึ่งเรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยที่เขาอายุได้ 19 ปี มีเงินใช้วันละกว่าแสนบาท มีรถคันละหลายล้านขับ ใช้ชีวิตสุขสบายมา 3 ปี กระทั่งถูกจับและถูกเจ้าหน้าที่พยายามปฏิบัตินอกกฎหมายในหลาย ๆ รูปแบบ
หลังจากออกจากเรือนจำได้ประมาณ 4 ปี เขาก็ได้เข้ามาร่วมทำงานกับกลุ่ม เส้นด้าย - Zendai เมื่อตนทราบเรื่องว่าเขาเคยอยู่เรือนจำ ตนจึงไม่แปลกใจเลย เพราะเขาได้บอกกับตนว่า การใช้ชีวิตอยู่ภายในเรือนจำ 15 ปีหนักมาก ๆ ซึ่งนายมะห์มุด เคยเดินทางผิดและยืนยันว่าจะไม่กลับไปทำเช่นนั้นอีก และการที่มาทำงานกับกลุ่มเส้นด้าย - Zendai เหมือนกับได้ค้นพบความหมายอะไรบางอย่างในชีวิต
โดยล่าสุดตนได้ขยายการช่วยเหลือในทุก ๆ พื้นที่ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยความบังเอิญที่ตนทราบว่า มีหน่วยงานในเรือนจำนครสวรรค์ แจ้งมายังเพจว่าพบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่เรือนจำเป็นพื้นที่แออัด ผู้คนอยู่ภายในจำนวนมาก มีโอกาสแพร่ระบาดได้เพิ่มสูงขึ้น ตนจึงส่งทีมงานไปวันที่ 2 ก.ย.64 แนะนำวิธี่ใส่ชุด PPE และถ่ายทอดประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้กับเจ้าหน้าที่เรือนจำนครสวรรค์
ส่วนในวันที่ 4 ก.ย.64 ตนและทีมงานกว่าหลายชีวิต พร้อมด้วยนายมะห์มุด จะเตรียมอุปกรณ์ ทั้งเครื่องออกซิเจน อุปกรณ์ชุดตรวจ และอุปกรณ์ป้องกัน ชุด PPE และอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ เครื่องวัดปลายนิ้ว และยา เตรียมไปเพิ่มเติมให้กับเรือนจำเพื่อที่จะสามารถใช้ได้อย่างทั่วถึง คาดว่าภายในเรือนจำกว่า 2,000 คน โดยจะมีนายมะห์มุด นำทีมไปในฐานะผู้ที่เคยเป็นผู้ต้องขัง เพื่อให้กำลังใจผู้ที่อยู่ภายในเรือนจำ และอยากให้สังคมเปิดโอกาสกับผู้ที่ต้องขังในเรือนจำ ผู้ต้องขังไม่ได้เป็นคนไม่ดีเสมอไป
Advertisement