อั้ม พัชราภา ถูกคุกคาม IG ต้องตั้งไพรเวต เพจดังปัดแซะแค่ถามคนลำบากทำไมเงียบ (คลิป)
กลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตให้ความสนใจอย่างมาก หลังจากเจ้าของแฟนเพจเฟซบุ๊ก Branding by Boy ได้ทำรูปมีมพร้อมมีข้อความเชิงตั้งคำถามถึงนางเอกชื่อดัง "อั้ม พัชราภา" โดยมีข้อความว่า “อั้ม พัชราภา รักหมาจรจัด ราวกับชีวิตคนไทยที่สนับสนุนอั้ม (อาจ) ถูกด้อยค่ากว่าหมาจรหรือไม่? รักหมา ช่วยหมา แต่ยังไม่ช่วยประชาชน ที่สนับสนุนตนเองผ่านการ CALL OUT พอคนเข้าไปสอบถาม เลยขอเวลาส่วนตัว ปิด Private IG”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุดวันที่ 14 ก.ค.64 "บอย" เจ้าของแฟนเพจเฟซบุ๊ก Branding by Boy กล่าวว่า “ต้องบอกว่าการเขียนบทความเรื่อง Call Out หรือประชาธิปไตยในช่วงนี้ มันพูดในหลาย ๆ แบบ บางบทความพูดตรง ๆ ก็อ่านรู้เรื่องว่าพูดว่าอะไร แต่บางเรื่องอย่างเรื่องคุณอั้ม เรากำลังหยิบยกมาเป็นโรลโมเดล เพื่อสะท้อนคนดังทั้งประเทศ ที่ตอนนี้ดังแล้วยืนท่ามกลางฟอลเลิฟเวอร์อันมากมาย และถามจริง ๆ ถ้าคุณยังเงียบอยู่ คุณภาพชีวิตคนไทยตอนนี้ เอาตรง ๆ ต่ำกว่าสุนัขอีก ไม่ได้บอกว่าให้ไปอิจฉาสุนัข แต่คนไทยส่งเสียงออกไปก็โดนปิดปาก เรื่องของการฉีดวัคซีน สุนัขมีวัคซีน พิษสุนัขบ้าฉีด เดินโลดแล่นได้อย่างปลอดภัย แต่เราต้องล็อกดาวน์ เราพูดไม่ได้ เพราะกฎหมายบอกว่าต่อให้บางเรื่องจริง แต่สร้างความหวาดกลัว ถ้าพูดจะโดนปรับ ดังนั้นในฐานะของครูด้านสื่อสารการตลาด เราใช้คุณอั้มเป็นโมเดลสื่อผ่านเรื่องนี้ไปยังสังคม แต่เราไม่รู้ว่าคนอ่านเข้าใจในสิ่งที่เราเขียนหรือเปล่า”
เจ้าของแฟนเพจเฟซบุ๊ก Branding by Boy ยังเผยอีกว่า การที่คุณอั้มไม่ออกมา Call Out ตนคิดว่าเป็นสิทธิ์ของเขา แต่การที่ตนยกเรื่องของคุณอั้มมาเป็นเคสก็เป็นเรื่องของตน เพื่อพูดถึงคนดังทุกคนในประเทศว่า แม้กระทั่งชีวิตพวกเราในประเทศด้อยค่าต่ำกว่าสุนัขหรือไม่ แฟนคลับคุณอั้มเขาก็มองว่าตนอิจฉาสุนัข “อันนี้คือขำมาก ไปอิจฉาทำไม ไม่ได้อิจฉาแต่อยากบอกว่า ตอนนี้ชีวิตพวกเราอยู่กันแบบไหน ถามตัวเองก่อน คุณอั้มเป็นคนดีช่วยบริจาค ช่วยเหลือสุนัข ฉะนั้นเขาลืมไปหรือเปล่าว่าหน้าที่ของการเป็นประชาชน แค่คุณลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งแล้ว มันเป็นสิทธิ์ทางการเมืองที่เราแสดงออกความคิดเห็น ดังนั้นเราเป็นประชาชนคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องทำดี 108 – 1009 ดังนั้นการทำความดีอีกเรื่องหนึ่ง แต่การทำความดีที่แท้จริง คือการเป็นสติปัญญาให้กับสังคม”
คุณบอย กล่าวอีกว่า “การพูดครั้งนี้ ถ้าคุณอั้มเห็นรูปอาร์ตเวิร์ก และข้อความที่เขียนในเพจ เราเชื่อว่าเขาอ่าน ต้องเข้าใจความหมาย เชื่อว่าเขาฉลาด เพราะเขาอยู่ในวงการมานาน อยู่ดี ๆ มีคนมาเขียนถึง หรือพูดถึงเขา เชื่อว่าเขาไม่โกรธ แต่สิ่งสุ่มเสี่ยงคือคนแวดล้อมคุณอั้มมากกว่า ที่อาจจะพูดว่า ให้ฟ้องคุณบอยเลย ฟ้องหมิ่นประมาทเลย แต่ในมุมมองเราเชื่อว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่มานั่งฟ้องหมิ่นประมาทคนที่เขานำเสนอแสงสว่างแห่งปัญญาให้กับคุณ เรามองว่าเรื่องปากท้อง โรคระบาด เรื่องของสถานการณ์สังคม บ้านเมืองก็สำคัญไม่แพ้กัน”
นอกจากนี้ การแก้เกมในเรื่องของภาพลักษณ์ของอั้ม พัชราภา หากอยากสร้างความน่าเชื่อถือให้กลับมา อั้มจะต้องไม่โกรธคนสะท้อน แต่จะต้องรับฟังเสียงต่าง ๆ แล้วประมวลผลว่าในสถานการณ์แบบนี้ เลือกที่จะปิดไอจีเป็นส่วนตัว หรือจะเลือกเปิดไอจีเป็นสาธารณะ เพื่อพูดข้อความบางอย่างที่ขับเคลื่อนสังคม เช่น "ไม่ว่าจะหมาหรือคน อั้มก็รักค่ะ" ดังนั้นในมุมมองของตน สิทธิ์ในการเงียบ หรือจะปิดไอจีเป็นสิทธิ์ของคุณอั้มทุกอย่าง อาจจะรำคาญหรือรู้สึกรบกวนจึงเลือกที่จะปิด แต่ถ้าเราคิดว่า หากสปอตไลท์ส่องมาแบบนี้ คนก็ต้องคาดหวังแล้วว่า อั้มอาจจะเปิดไอจีมาพร้อมกับคลิปวิดีโอที่สังคมกำลังรอคำตอบใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลาย ๆ คนสอบถามว่าการที่ตนออกมาเช่นนี้ เรียกว่าการล่าแม่มด หรือการคุกคามหรือไม่ ตนเชื่อว่าหลายคนมองออกว่าไม่ใช่คุกคาม แต่เป็นการแสดงออกที่ตนตั้งคำถามกับคนดังหรือใครก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะการคุยกันเป็นเรื่องปกติในสังคมของประชาธิปไตยที่สามารถตั้งคำถามได้ การชวนกันมาพูดคุยคือการแสดงความคิดเห็นอันเสรีซึ่งเป็นเรื่องปกติ
หากคนที่มองว่า การตั้งคำถามแบบนี้คือการคุกคาม ตนต้องย้อนกลับไปถามว่า “คุณโตมาแบบไหน ระบบการศึกษาแบบไหนถึงห้ามถาม หรือห้ามแสดงความคิดเห็น ดังนั้นประเทศที่จะเปลี่ยนการวิธีคิดนี้ได้ ต้องเปลี่ยนระบบการเรียนรู้ก่อน คือเชื่อในการถาม การตอบ การวิพากษ์วิจารณ์ อยากจะบอกว่าคุณอั้มไม่ได้ผิด และความกดดันทางสังคมก็ไม่ผิดเช่นกัน เพราะไม่ว่าตอนนี้จะเงียบหรือจะพูดมันจะมีต้นทุนที่ต้องแลก สุดท้ายอยากฝากไปถึงคนดังว่า ทุกวันนี้เวลาออกรายการ ก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย ชีวิตคุณอยู่กับความสวยและใบหน้าตลอดเวลา แต่ต้องมาใส่หน้ากากอนามัยบดบังความสวยงามบนใบหน้า ลองกลับไปถามตัวเองดี ๆ ว่า สุขสบายจริงหรือเปล่า”
Advertisement
