กรณีตำรวจ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ได้รับตัวผู้ต้องหาชื่อนายนฤเดช หรือ ฟิวเจอร์ พร้อมของกลางเป็นยาเคตามีน ลักษณะเป็นผงละเอียดสีขาว บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสแบบรูด จำนวน 1 ถุง น้ำหนักชั่งรวมถุง 8.48 กรัม น้ำหนักเฉพาะยาเคตามีน 8.08 กรัม เพื่อดำเนินคดีในข้อหามีวัตถุออกฤทิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครอง เพื่อขายโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเหตุเกิดที่บริเวณทางเข้าคอนโดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
ล่าสุดวันที่ 13 ม.ค.64 เวลา 11.00 น. พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.จ.ปทุมธานี ได้เดินทางมาที่ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยพ.ต.อ.วิษณุรักษ์ พรหมเมศร์ ผกก.สภ.คูคต และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้ร่วมกันสอบสวนนายนพดล หรือ ฮัท อายุ 20 ปี และนายนฤเดช หรือ ฟิวเจอร์ อายุ 19 ปี โดยทำการสอบสวนประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนแล้วเสร็จ
พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า จากที่ตำรวจ บก.น.2 ได้จับกุมผู้ต้องหา 2 คนมาส่งที่ สภ.คูคต ทางตำรวจได้สอบสวนเพื่อขยายผล โดยทางผู้ต้องหาทั้งคู่ให้การเป็นประโยชน์ แต่ว่ายังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เกรงว่าจะทำให้เสียรูปคดี และทำให้ผู้ร่วมขบวนการหลบหนีไป
ส่วนตัวยานั้นจากการสอบถามผู้ต้องหาให้การว่า เป็นคนละสูตรกันกับเคนมผงที่สูดดมแล้วเสียชีวิต โดยจะมีตัวยา 1 ตัวผสมอยู่ แต่ก็เป็นเพียงการให้ปากคำของผู้ต้องหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ส่งตัวยาไปพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานอีกครั้ง ก็จะได้ความชัดเจนว่าจะมีส่วนผสมของเคนมผงหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ ตนได้สั่งการไปทั้ง 2 โรงพัก สภ.ลำลูกกา และสภ.คูคต ที่อยู่ในอ.ลำลูกกา ที่มีกระแสข่าวว่ามีการซื้อขายเคนมผงในพื้นที่ ให้ตำรวจสืบสวนหาข่าวเพื่อจะได้ทำการติดตามจับกุมกลุ่มผู้ที่ขายทั้งหมด และจะสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่ให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวน นายนฤเดช รับว่า รับยาเสพติดดังกล่าวมาจากผู้ค้ายาอีกรายที่ชื่อ นายอ้วน จากชุมชนวัดลุ่ม เขตสายไหม ซื้อมาจำนวน 10 กรัมในราคา 4,000 บาท เพื่อนำไปขายต่อให้กับกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการซื้อไปเสพ จึงได้นำส่ง ตำรวจ สภ.คูคต รับไปดำเนินคดีฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี พูดคุยกับ น.ส.ผึ้ง อายุ 43 ปี แม่ของนายนพดล หรือ ฮัท บอกว่า ลูกชายตนที่โดนจับและถูกกล่าวหาว่าเป็นเอเจนต์ขายเคนมผง ตนมั่นใจว่าลูกไม่ได้ขาย เพราะไม่มีความจำเป็นที่ลูกจะอยากได้เงิน ฐานะตนไม่ได้รวยมาก แต่ก็ไม่เคยทำให้ลูกลำบาก ให้เงินใช้เดือนละ 12,000 บาท มีรถขับไปเรียน อยากได้อะไรได้หมด เพราะตนเคยลำบากมาก่อน
ทั้งนี้ตนคิดว่าลูกหลงผิดตามเพื่อน เพราะปกติลูกชายจะเป็นคนอ่อนโยน แต่เมื่อไปคบเพื่อนกลุ่มนายเอ็ม ที่มาหาที่บ้าน เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ลูกชายก็เริ่มเปลี่ยนไป นอนอย่างเดียว ตื่นมาเพื่อนก็มาบ้านแล้ว บางทีตนไปจับมือลูกกลับโกรธตน โมโหใส่ตน แต่เวลาเพื่อนมารีบไปต้อนรับ ส่วนเพื่อนกลุ่มนี้ เรียนประถมมาด้วยกัน
ลูกชายมีอาการหนักในวันที่ 7 ม.ค.64 เริ่มเปลี่ยนไป ก้าวร้าว ขณะนั้นตนห่วงลูกชายมาก กลัวลูกตาย เพราะเพื่อนกลุ่มนายเอ็ม นายฟิวส์ มาบ้าน ก็จะมีการดมเคนมผงกัน ลูกตนมักจะเดินเซทุกครั้ง ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็เดินเซกันหมด ตนเตือนลูกชายตลอด เพราะเป็นห่วง และที่ลูกตนเป็นแบบนี้ ตนยังแอบโทษตัวเองว่า ตนใช้ยาแรงกับลูกเกินไป บังคับหักดิบให้ลูกเลิกคบเพื่อนกลุ่มนี้ ลูกจึงหนีออกจากบ้านไปเมื่อวันที่ 10 ม.ค.64 กระทั่งมาถูกจับวันที่ 12 ม.ค.64
"จริง ๆ อยากให้คนขายตาย ๆ ไปให้หมด เป็นบ่อนทำลายสังคมเกินไป ไม่ใช่เสพเพื่อสนุกสนาน มันทำคนตาย ตั้งหลายคน ไม่สงสารเหรอ ถ้าเป็นญาติตัวเองจะรู้สึกยังไง ส่วนลูกชายก็เกือบแย่" ทั้งนี้ตนอยากเตือนใจวัยรุ่นว่า "ในแต่ละนาที พอมันผ่านไปแล้วมันย้อนไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ อยากให้ทำอะไรก็ตามต้องคิดถึงพ่อถึงแม่ให้มาก"
อย่างไรก็ตาม ตนถามลูกว่าได้ขายยาเคนมผงหรือไม่ ลูกชายตนบอกว่าไม่ได้ขาย แค่ดมเฉย ๆ แต่ที่ถูกจับเพราะเพื่อนซัดทอดมาว่าลูกตนขาย ทั้ง ๆ ที่เป็นยาของเพื่อน ทั้งนี้ลูกโดนจับแล้วตนไปเยี่ยมในคุกลูกบอกว่า "ขอโทษที่หนูไม่เชื่อม๊าหนูขอโทษ ถ้าเชื่อม๊าคงไม่เป็นแบบนี้ หนูรักม๊านะ หนูขอโทษที่ทำให้ม๊าเสียใจ" ตนจึงพูดปลอบลูกไปว่า "ไม่เป็นไร คุกไม่ได้ทำให้คนตาย แม่ให้โอกาสลูกเสมอ แม่รักและให้อภัยเสมอ จะผิดจะถูกก็ลูก คนเราผิดพลาดกันได้ แม่ก็มีแค่ลูกชายคนเดียว"
นอกจากนี้ น.ส.ผึ้ง ยังระบุว่า ลูกชายบอกว่าไม่ต้องประกันตัว "ลูกทำผิดจะรับผิดเอง" แต่หัวอกของตนในฐานะที่เป็นแม่ อย่างไรก็ต้องประกันลูกออกมา หากได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทีมข่าวมีโอกาส พูดคุยกับ นายแฮงค์ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี พ่อของนายฮัท ผู้ต้องหา เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า เมื่อก่อนลูกชาย เล่นเกมคบเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ปกติไม่มียุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่มาระยะ 3 สัปดาห์นี้ ตนมองว่าลักษณะแปลก ๆ เริ่มดูไม่น่าไว้ใจ แต่ลูกไม่เข้าใจ หาว่าพวกตนกีดกันไม่ให้คบเพื่อน จึงหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อน ตนก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหน กระทั่งมาถูกจับ กลายเป็นเอเจนต์ขายยาเคนมผง
แต่ตนไม่เชื่อว่าลูกเป็นเอเจนต์ น่าจะเป็นคนเสพเคอย่างเดียว เพราะคนขายอะไรจะมานั่งเสพจนเมามายเบลอแบบนี้ อีกอย่างตนมีฐานะ ลูกชายไม่จำเป็นต้องไปหาเงินทางอื่น ทั้งนี้ที่ผ่านมาตนพยายามเตือนสติลูกชายตลอด อย่ารักเพื่อนมากกว่าตัวเอง อย่าไปหวังอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือแม้แต่น้ำใจจากเพื่อน ถ้าอยากได้อะไรให้บอกตน แต่ก็มาเกิดเหตุจนได้ และตอนที่ตำรวจไปจับโทรมาแจ้งตนว่าลูกชายอาการไม่ดี อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง เพราะลูกเสพหนัก เสี่ยงน็อก กลัวจะตายในคุก ตนก็ใจคอไม่ดี
แต่วันนี้ตนไปเยี่ยมลูกชายในคุก ลูกดูดีขึ้น แต่ยังดูเบลอ และลูกบอกว่า ขอโทษที่ไม่เชื่อฟัง ตนจึงบอกลูกว่า "ลูกไม่ต้องพูดหลอก มันสายไปแล้ว ให้ดูแลตัวเองดี ๆ" ตนในฐานะพ่อ ตนก็เสียใจที่ลูกไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ตนก็กินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะห่วงลูก ส่วนทางคดีหากตำรวจให้ประกัน ตนก็จะประกัน
ทั้งนี้นายแฮงค์ พ่อนายฮัท ยังให้ทีมข่าวดูแชตเฟซบุ๊กที่พูดคุยกับลูกวันที่ 10 ม.ค.64 หลังจากนายฮัท หนีออกจากบ้าน "ถามว่ากินอะไรยังลูก จะทำอะไรให้คิดเยอะ ๆ โต ๆ แล้วลูก" จากนั้นเวลา 21.16 น. พ่อพยายามโทรไป 3 ครั้ง แต่นายฮัทก็ไม่รับสาย
ต่อมาเวลา 22.22 น. นายแฮงค์ ทักไปหาลูกชาย และพยายามเกลี้ยกล่อมให้กลับบ้าน "สบายใจก็กลับบ้านเรานะลูก ป๊าเป็นห่วง อย่าไปมีเรื่องเลย" จากนั้นลูกชายก็ไม่รับสายอีกเลย แม้นายแฮงค์จะพยายามโทรกลับไปเกือบ 10 ครั้ง
ทีมข่าวเดินทางไปยังชุมชนวัดลุ่ม เขตสายไหม กรุงเทพฯ โดยได้พบย่าของนายอ้วน ที่นั่งอยู่ในบ้านกับญาติ ซึ่งเป็นผู้ชาย โดยย่าของนายอ้วน กล่าวว่า นายอ้วนหายออกจากบ้านกว่า 1 สัปดาห์แล้ว ไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าน่าจะรู้ตัวที่ทำความผิด ทำเรื่องที่ไม่ดี จึงต้องหนีไป
ทั้งนี้ตนไม่รู้เรื่องว่านายอ้วนขายยาเสพติด หรือเคนมผงให้กลุ่มวัยรุ่นย่านลำลูกกาจริงหรือไม่ เพราะหลานไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาที่บ้านหลายรอบ เพื่อตามหานายอ้วน ตนก็บริสุทธิ์ใจให้ตรวจค้น และไม่ได้ปิดบัง เพราะส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าหลานชายหายไปไหน หากหลานมีความผิดจริงก็ขอปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามกระบวนการ ทั้งนี้พ่อของนายอ้วนป่วย นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ยังไม่กล้าบอกเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะกลัวจะช็อก
Advertisement