เด็ก 11 ถูกข่มขืนเคราะห์ซ้ำไอ้โม่งยัดยา ญาติขึ้นโรงพักฉะเหยื่อก็แสบ (คลิป)

จากกรณี ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พร้อม นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา เข้าให้ความช่วยเหลือครอบครัวของเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่ถูกเพื่อนบ้านข่มขืน จากนั้นมีชายอ้างเป็นยุติธรรม จ.ระยอง และ สื่อมวลชนท้องถิ่น เข้ามาช่วยผู้ต้องหาในการล้มคดี จนสุดท้ายครอบครัวของเด็กหญิงถูกกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าค้ายาเสพติด และบุกรุกพื้นที่กรมป่าไม้

ล่าสุดเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ม.ค. 66 ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พร้อม นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา ได้พาพ่อแม่ของเด็กหญิงอายุ 11 ปี เข้าร้องขอความเป็นนธรรมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยมี พ.ต.อ.สาโรช พลพินิจ รอง ผบก.งป. เป็นผู้รับเรื่องแทน

ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนเดินทางมายื่นเอกสารเพื่อหวังในเกิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดีข่มขืน รวมถึงตรวจสอบเจ้าตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.แกลง จ.ระยอง ที่ตรวจพบยาเสพติดภายในบ้านของพ่อแม่ของเด็กหญิงผู้เสียหาย จำนวนกว่า 990 เม็ด ทำให้ทางครอบครัวติดใจว่า เหตุใดจึงพบยาเสพติดอยู่บริเวณหน้าบ้าน เนื่องจากมีพิรุธหลายจุด เช่น ถุงยาที่ไม่เปียกน้ำ ทั้ง ๆ ที่จุดพบยาเสพติดมีน้ำรั่ว

นอกจากนี้ ตนยังอยากให้มีการตรวจสอบผู้ที่อ้างตัวเป็นยุติธรรมจังหวัดระยองและสื่อมวลชนท้องถิ่น ที่มีการเข้ามาตีสนิทกับครอบครัวของเด็กหญิง ก่อนที่จะทำการตบทรัพย์ขโมยพระเครื่องไปกว่า 300 องค์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาคดีข่มขืนและช่วยล้มคดีด้วยหรือไม่ เพราะเจ้าตัวเป็นผู้แจ้งใส่ร้ายให้กรมป่าไม้มาจับครอบครัวเด็กหญิงว่าขุดหน้าดินไปขาย

ทั้งนี้ผู้เสียหายอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อที่จะให้เป็นธรรมต่อครอบครัวผู้เสียหาย และไม่อยากให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มากลั่นแกล้งได้ ซึ่งครอบครัวยืนยันจะดำเนินการให้ถึงที่สุด

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี พูดคุยกับ นางรุ่งนภา (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี แม่ของเด็กหญิงวัย 11 ปี บอกว่า ตนสบายใจขึ้นหลังจากที่ทนายไพศาลและหมอปลา พร้อมสื่อมวลชนเดินทางมาให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 66 ตนได้รับรู้ว่ามีการส่งแชตต่อ ๆ กันมาว่าสามีของตนยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ตนรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย จึงได้ปรึกษาทนายไพศาลแล้วเดินทางมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันนี้

สำหรับแชตที่มีการส่งต่อมานั้น เป็นแชตที่ นายธนภัทร (สงวนนามสกุล) อดีตเจ้าหน้าที่อัตราจ้างเหมาบริการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดระยองและบุคคลที่อ้างตัวเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่นจังหวัดระยองพูดคุยกับบุคคลปริศนา ซึ่งบุคคลปริศนาแจ้งว่าสามีของตนค้ายาเสพติด โดยมีพยานเป็นหญิงสาวซึ่งอ้างตัวเป็นกิ๊กกับสามีของตน แต่ความจริงแล้วหญิงสาวคนดังกล่าว เป็นบุคคลใกล้ชิดกับ นายวิชาน สรานนท์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ข่มขืนลูกสาวของตน โดยตนมีหลักฐานว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นคนสนิทของผู้ต้องหา เนื่องจากผู้ต้องหาโพสต์รูปผู้หญิงคนดังกล่าวบนเฟซบุ๊ก

อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่า นายธนภัทร (สงวนนามสกุล) อดีตเจ้าหน้าที่อัตราจ้างเหมาบริการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดระยองและบุคคลที่อ้างตัวเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่นจังหวัดระยอง รวมถึง นายวิชาน สรานนท์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ข่มขืนลูกตน รู้เห็นกัน และพยายามจะกลั่นแกล้งครอบครัวของตน เนื่องจากหากตนและสามีถูกจับว่าค้ายาเสพติดคดีข่มขืนก็จะไม่คืบหน้า ขณะนี้ตนหวาดระแวงมาก หลังจากนี้ตนกับครอบครัวจะย้ายออกจากบ้าน อาจจะขอไปอยู่บ้านหมอปลา เพื่อความปลอดภัย

ขณะที่เฟซบุ๊กของ นายวิชาน ผู้ต้องหา ได้มีการโพสต์ถึงหญิงสาวที่อ้างตัวเป็นกิ๊กของสามีตน ซึ่งดูแล้วมีการสนิทสนมกัน ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบด้วย 

ด้าน พ.ต.ต.สมศักดิ์ บุตะกะ สว.สส.สภ.แกลง จังหวัดระยอง ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบ สภ.แกลง ไม่มีหมายค้นบ้านของเด็กหญิงอายุ 11 ปี แต่เนื่องจากมีสายแจ้งข้อมูลมาว่ามียาเสพติดซุกซ้อนอยู่ภายในบ้าน ทำให้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการบุกค้น โดยแม้จะมีการพบยาเสพติดกว่า 990 เม็ด แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ เนื่องจากเหตุการณ์ค่อนข้างแปลก จึงได้มีการสอบปากคำพูดคุยกับครอบครัวของเด็กหญิง พร้อมตรวจสอบว่าสายลับนั้นจงใจกลั่นแกล้งครอบครัวของเด็กหญิงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้สายลับคนดังกล่าวหายตัวไป

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดบุกค้นเป็นชุดเดียวกันกับชุดที่จับกุม นายวิชาน (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาเหตุข่มขืนเด็กหญิงอายุ 11 ปี จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะกลั่นแกล้งผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรมกับประชาชนอย่างถึงที่สุด

ทั้งนี้ขณะที่ ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา พร้อมครอบครัวของเด็กหญิง และเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพูดคุยกัน จู่ ๆ น.ส.วันดี อายุ 51 ปี น้าสาวของนายวิชาน (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาคดีข่มขืน ก็เข้ามาโวยวายที่สถานีตำรวจ น.ส.วันดี บอกว่า ตนถูกพาดพิงว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นจิตอาสาคอยช่วยเหลือประชาชน โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ภรรยาของผู้ต้องหาไปบุกไปทำร้ายเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่บ้านของเด็กหญิง เพราะพบแชตที่เด็กหญิงพูดคุยกับผู้ต้องหา

ทางครอบครัวของเด็กหญิงจึงได้เจรจากับภรรยาของผู้ต้องหา เพื่อไม่ดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย เรียกเงิน 50,000 บาท แต่ต่อรองกันเหลือ 35,000 บาท ส่วนผู้ต้องหาหลบหนีไป ซึ่งตนก็เป็นผู้ติดต่อผู้ต้องหาให้มามอบตัว จากนั้นผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวในชั้นศาล ก่อนจะหลบหนีไปพร้อมภรรยา ซึ่งขณะนี้ตนก็ยังไม่สามารถติดต่อหลานชายได้เนื่องจากไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าเด็กหญิงสมยอมเพราะมีการร่วมเพศกันถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม-กรกฎาคม 65 แต่เนื่องจากเด็กอายุไม่ถึง อย่างไรผู้ต้องหาก็ผิด

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้เดินทางมาพบกับ นายธนภัทร (สงวนนามสกุล) ผู้ถูกกล่าวหาว่าแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมและสื่อมวลชนท้องถิ่นจังหวัดระยอง เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนได้เข้าไปให้การช่วยเหลือและให้คำปรึกษากับครอบครัวผู้เสียหายจริง เพราะผู้เสียหายมีใบแจ้งสิทธิ์มาขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม โดยขณะนั้นยังไม่หมดสัญญากับกระทรวจยุติธรรมจังหวัดระยอง ตนยืนยันว่าตอนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรม มีสัญญจ้างตั้งเเต่ 16 พ.ย.64 - 30 ก.ย.65

ต่อมาก็มีประเด็นที่ เด็กหญิงผู้เสียหายถูกภรรยาของผู้ต้องหาบุกเข้าทำร้ายร่างกายที่บ้าน ทางผู้เสียหายเองก็ได้ปรึกษาตนผ่านทางไลน์มาตลอด ต่อมาตำรวจได้ไปดูบ้านของผู้เสียในคดีทำร้ายร่างกายที่บ้าน ตนก็เเนะนำให้ ผู้เสียหายถ่ายภาพในตอนที่ตำรวจให้ลูกสาวชี้จุดที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นตำรวจเจ้าของคดีก็ได้มีการนัดวันโดยบอกว่าทางผู้ก่อเหตุจะเข้ามอบตัวที่โรงพัก สภ.แกลง ทางเเม่เด็กเองก็ประสานมาทางตน โดยบอกว่า ตำรวจนัดวันเสาร์ที่ 27 ส.ค.65 เวลา 14.00น.

ซึ่งในวันนั้นทางฝ่ายของผู้เสียหายก็ได้มีการแชตไลน์คุยกับตนโดยบอกว่าให้ตนมาที่บ้านก่อนเพื่อที่จะดูพระเครื่อง เพราะรู้ว่าตนชอบพระ ตนก็ซื้อของกินเเละให้เหล้าไป 1 กลม ก่อนจะดูพระไปด้วย พูดคุยกันไป ส่วนประด็นพระเครื่องกว่า 300 องค์ ครอบครัวของเด็กหญิงยกให้ตนไม่เกิน 60 องค์ เป็นพระเนื้อผงเก่า ๆ พระได้ตากงานกฐิน ซึ่งตนได้มอบเงินให้ไปแล้วจำนวนเงิน 300 บาท ดังนั้นจึงถือว่าครอบครัวของเด็กหญิงมอบพระให้ตนด้วยความเต็มใจ ซึ่งตนมีหลักฐานเป็นแชตที่พูดคุยกัน

ต่อมา ตำรวจเจ้าของคดีก็โทรมาตามให้ ผู้เสียหายไปไกล่เกลี่ยกับผู้ก่อเหตุที่โรงพัก ซึ่งตอนนั้นต้นก็ไม่ได้ขึ้นไปด้วยแต่ทราบข้อมูลมาว่ามีการเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องคดีทำร้ายร่างกาย โดยทางฝ่ายผู้ก่อเหตุจะจ่ายเงินเยียวยาจำนวน 35,000 บาทโดยจะทยอยจ่ายเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มีลงบันทึกประจำวันไว้เเล้ว ต่อมาเเม่เด็กเเละภรรยาผู้ต้องหาก็ไปพูดคุยกันต่อที่ปั๊มน้ำมันตรงข้ามโรงพักเพราะเขาเป็นเพื่อนบ้านกัน

ส่วนประเด็นเรื่องเงิน 500,000 บาท เกิดจากฝ่ายผู้เสียหายต้องการเรียกเงินจากผู้ก่อเหตุในคดีข่มขืน เเละปรึกษาตนว่าควรจะเรียกดีหรือไม่ ซึ่งตนก็บอกว่าเเล้วเเต่จะเรียก เเต่ฝ่ายผู้ก่อเหตุก็บอกว่า มีเงินไม่พอ ส่วนประเด็นที่บอกว่าตนเรียกเงิน 150,000 บาท จากเงินเยียวยา 500,000 บาทนั้นตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งวันนั้นการพูดคุยเรื่องเงินเยียวยาในคดีข่มขืนยังไม่มีข้อสรุป เพราะญาติของผู้เสียหายโทรตามเพราะญาติที่บ้านป่วยหนัก ตนจึงนั่งคุยกับฝ่ายผู้ต้องหาต่อทำให้ฝ่ายผู้เสียหายเข้าใจว่าตนมีความสนิทสนมกับฝ่ายผู้ก่อเหตุ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วตนไม่เคยรู้จักกับฝ่ายผู้ต้องหามาก่อน

ตนขอยืนยันความบริสุทธ์ใจ โดยตนไม่ได้เรียกรับเงินจากใคร ไม่มีการช่วยไกล่เกลี่ยเจรจากับผู้ต้องหาแต่อย่างใด ตนไม่ได้เรียกรับเงินใดๆ เเม้กระทั่งค่าน้ำมัน เเต่ผู้เสียหายยื่นให้ตนเอง เเค่ 1,000 บาทเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้ตนก็อยากจะคืนเงินไปเสีย ซึ่งในส่วนนี้ ทางหน่วยงานต้นสังกัดของตนก็ได้เรียกสอบไปหมดเเล้ว ทั้งฝ่ายตนเเละฝ่ายเเม่เด็กผู้เสียหาย

ส่วนประเด็นที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อท้องถิ่น ตนไม่ได้แอบอ้าง แต่ตนเป็นสติงเกอร์เฉพาะกิจของรายการหนึ่ง จึงได้บอกผู้เสียหายไปว่าตนเคยทำงานด้านสื่อมวลชน แต่ไม่ได้อ้างตัวเป็นสื่อสำนักใหญ่ ตามที่ทนายคนดังกล่าวหา และประเด็นการร้องเรียนไปยังกรมป่าไม้ ตนไม่ได้ร้องเรียน แต่ชาวบ้านตำบลทุ่งควายกิน อำเภอเมืองระยอง ต่างหากที่ร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐ ทั้งศูนย์ดำรงธรรมและฝ่ายปกครอง ว่าครอบครัวผู้เสียหายมีการขุดตัดหน้าดินขาย ทำให่ที่ดินที่ติดกันสไลด์ ชาวบ้านมีหลักฐานทุกอย่างเเต่ไม่มีความคืบหน้า ตนจึงรวบรวมหลักฐานและส่งไปที่กรมป่าไม้ของจังหวัด เเละมีบันทึกการตรวจสอบพื้นที่ ของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ในวันที่ 26 กันยายน 2565 ซึ่งในวันนั้นทางแม่เด็กผู้เสียหายได้มีการมาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้จริง เเละนำเอกสารมาเเสดงต่อเจ้าหน้าที่โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ดินเเล้วพบว่ามีการขุดตักหน้าดินจริง เเต่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของกรมป่าไม้ เเต่อยู่ในพื้นที่ของสำนักงานปฏิรูปที่ดิน (สปก.)

ต่อมาวันที่ 5 ต.ค.65 สปก.เจ้าของพื้นที่ ลงพื้นที่มาดูที่ดินแปลงดังกล่าว พบว่ามีดินมาโปะไว้ที่ดิน คล้ายตบตาเจ้าหน้าที่โดยเเม่เด็กผู้เสียหายอ้าวว่าเตรียมที่ดินจะปลูกทุเรียน ซึ่งสปก.จะต้องชี้มูลความผิดลงโทษในข้อหาลักทรัพย์ของแผ่นดิน เเต่ในวันนี้ที่มีการออกรายการหนึ่ง (โหนกระเเส) ทางทนายกลับอ้าวว่าไม่ผิด เพราะเป็นการปรับหน้าดิน เพื่อทำกินต่อ ซึ่งในความเป็นจริงเเล้ว สปก.ให้ที่ดินทำกิน เเต่มีเงื่อนไขว่าต้องทำการเกษตรเท่านั้น ไม่ใช่เอาดินไปขาย เเละขุดหน้าดินลึก 3-4 เมตร ตนอยากจะให้ทีมข่าวได้ตรวจสอบไปยัง สปก.จังหวัดระยองด้วยว่า ความคืบหน้าไปถึงไหนเเล้ว ตนยืนยันว่าตนไม่ได้กลั่นแกล้งใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งตนก็ไม่เกี่ยวข้องกับการยัดยาเสพติด เพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เเละต้องตรวจสอบว่ายาเสพติดนั้นเป็นของใคร ไม่ใช่มากล่าวหาว่าตำรวจยัดยา เรื่องนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายตำรวจด้วย

ส่วนเรื่องเเชตที่ตนคุยกับ นางสาวน้ำว้า ในเรื่องข้อมูลที่ว่า นางสาวน้ำว้ามีหลักฐานว่า พ่อของเด็กผู้เสียหายยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดจริงนั้น ตนเองก็ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นคนส่งยา หรือขายยา ตนไม่ทราบ ส่วนนางสาวน้ำว้า เป็นชาวบ้านผู้ร้องเรียนเรื่องที่ดิน สปก. ซึ่งเรื่องเกี่ยวยาเสพติดนี้ ตนจะไประบุแบบนั้นไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเเนวทางการสืบสวนของตำรวจ ส่วนที่ตนถูกกล่าวหานั้น ตนก็จะต้องไปต่อสู้ในกระบวนการศาล ซึ่งตนเตรียมทีมทนายฟ้องกลับ เเละจะดำเนินคดีเอาผิดในเรื่องที่ใส่ร้ายตนเเละไม่ใช่ความจริงไว้เเล้ว