เมื่อเวลาราว 15.00 น. วันที่ 16 ธันวาคม มูลนิธิร่วมกตัญญู ได้รับแจ้งเหตุยิงกัน ที่ สน.หลักสอง โดยเมื่อเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าในห้องสอบสวนชั้น 2 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย
ผู้เสียชีวิตคือ นายคมสัน อินทร์ฤทธิ์ อายุ 33 ปี ผู้บาดเจ็บคือ นายอนุสร วิชาธร อายุ 33 ปี ถูกอาวุธปืน เร่งนำส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค ผู้ก่อเหตุหลบหนีไป ทราบชื่อคือ นายพีรสิน อายุ 27 ปี
ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังสถานีตำรวจนครบาลหลักสอง เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลและลงพื้นที่ติดตามเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ผู้บาดเจ็บถูกนำตัวส่งที่โรงพยาบาลก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนศพของผู้เสียชีวิตยังอยู่บริเวณที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่
เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่บุรีธิร่วมกตัญญู นำศพของผู้ตายขึ้นไปยังรถลำเลียงศพหลัง จากนั้นภรรยาของผู้เสียชีวิตได้ขอกอดสามีเป็นครั้งสุดท้าย โดยได้เดินไปเปิดรถของเจ้าหน้าที่ ที่มีการนำร่างของผู้ตาย ไปบรรจุไว้เพื่อเตรียมนำไปส่งโรงพยาบาลชันสูตรต่อ
ภรรยาของผู้เสียชีวิตและร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ พร้อมกับลูกสาววัยหนึ่งปีหลังจากนั้นญาติได้ดึงตัวของนางสาวปัท ออกมาจากบริเวณรถของเจ้าหน้าที่กู้ภัยเพื่อเข้าไปนั่งพักผ่อนอยู่ด้านในสถานีตำรวจ
นางสาวปภาดา นิสสัยสุข อายุ 32 ปี ภรรยาผู้ตาย เล่าเหตุการณ์ว่าวันนี้ตำรวจได้นัดตนเองและฝั่งคู่กรณีมาไกล่เกลี่ย คดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย. 65 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนัดเวลา 13.00 น. แต่ฝั่งคู่กรณีที่เป็นมือยิงยังไม่เดินทางมา กระทั่งเดินทางมาเวลา 14.00 น. ก่อนจะขึ้นมาหาตนเอง โดยมีคนที่ก่อเหตุ ทนายความคนก่อเหตุ กับภรรยาได้เดินทางขึ้นไปยังห้องสอบสวน
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุภรรยาของคนก่อเหตุได้พูดกับสามีตนเองว่าตั้งแต่เกิดเหตุมาไม่เคยได้ยินคำขอโทษ สามีตนเองจึงกล่าวคำขอโทษไป หลังจากนั้นนายพีระสินจึงชักอาวุธปืนขึ้นมายิงทันที คล้ายกับจ่อยิงอย่างระยะประชิดบริเวณสามีตนเอง ส่วนที่ทนายความได้รับบาดเจ็บ คาดว่าเกิดจากการถูกลูกหลง
หลังจากนั้นตนเองไม่ทราบว่าผู้ก่อเหตุหนีอย่างไร แล้วขับรถไปที่ไหน เพราะตนเองห่วงแต่สามี คนก่อเหตุลงมือกระทำเหตุการณ์รุนแรงต่อลูกสาวตนเองไว้เพียง 1 ขวบเท่านั้น โดยช่วงที่เกิดเหตุตำรวจเหมือนกำลังงงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร ตนเองคาดว่าช่วงที่เกิดเหตุมีตำรวจอยู่ด้านล่างจำนวนมากแต่ด้านบนชั้น 2 มีเพียง 1 นายเท่านั้น ยอมรับว่าช่วงเกิดเหตุ มีการพูดคุยกันจริงเกี่ยวกับเรื่องการเรียกค่าเสียหาย โดยฝ่ายทนายความของผู้เสียหายเป็นผู้ที่คิดจำนวนมูลค่าความเสียหายกว่า 9 ล้านบาทซึ่งตนเองมองว่าเป็นจำนวนที่มากจนเกินไป เป็นตัวเลขที่คนรวยเค้าคุยกัน แต่พวกตนเองเป็นคนหาเช้ากินค่ำ สามีตนเองทำงานเป็นช่างคนเดียว ส่วนตนเองเลี้ยงลูกวัยหนึ่งขวบ จะเอาเงินที่ไหนไปให้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ย.65 ช่วงที่เกิดเหตุ รถของตนเองมีสามีเป็นคนขับมาพร้อมกับตนเอง ป้าและหลานอีก 2 คน โดยสามีตัวเองขับมาทางตรง แต่รถของคู่กรณีกำลังจะกลับรถ แต่สามีตนเองไม่ให้รถของคู่กรณีไป หลังจากนั้นคู่กรณีจึงขับตาม แล้วขับจี้ ขับปาดหน้ารถของตนเอง ทำให้สามีตนเองเริ่มโมโห แล้วขับปาดหน้ารถของคู่กรณีคืน จนทำให้มีการจอด และสามีตนเองลงไปต่อยคู่กรณีหลายครั้งจากนั้นก็แยกย้ายกันไป แต่หลังจากนั้นระหว่างทางกลับบ้าน คู่กรณีได้พุ่งชนรถของตนเอง ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายพุ่งชนรถของคู่กรณี รถของตนเองป้ายแดง จะไปชนรถของคู่กรณีซึ่งเป็นรถกระบะทำไม จากนั้นคู่กรณีก็หนีไป
ที่ผ่านมาเมื่อตำรวจเรียกมาไกล่เกลี่ย ตนเองยินดีที่จะยินยอมรับทราบข้อกล่าวหาทุกอย่าง เพราะอยากให้เรื่องมัน จบทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ยอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายที่ชนรถของคู่กรณี วันนี้วันที่เกิดเหตุเพิ่งจะเป็นวันแรกที่มีการเผชิญหน้า จากคู่กรณีในระยะประชิด อยากจะถามคนก่อเหตุว่าทำแบบนี้ไปทำไม หรือแพ้ไม่เป็น คนก่อเหตุโกหก ตอแผล ที่ผ่านมาตำรวจไม่เคยเชื่อ ตนเองเลยว่าไม่ใช่ฝ่ายที่ลงมือชนรถของคู่กรณี ถึงแม้หน้าตาแฟนของตนเองหน้าตาเข้ม ส่วนหน้าตาของมือปืนอาจจะดูเรียบร้อยเป็นคนรวย แต่กลับมาเกิดเหตุแบบนี้
นางสาวจันทร์ภัสสร ชีพวนิช อายุ 31 ปี ลูกพี่ลูกน้องของผู้ตายเดินทางมาที่โรงพัก เผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อเวลาประมาณ 3 เดือนก่อนพี่ชายเกิดเหตุอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน กับนายพีรสินผู้ก่อเหตุ แล้วเกิดควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ไปทำร้ายร่างกายนายพีระสินจนได้รับบาดเจ็บ แต่ตนเองไม่ทราบรายละเอียดว่าเกิดเหตุเมื่อไร บริเวณไหน พี่ชายเล่าให้ฟังเพียงว่าเหตุการณ์ไม่ได้ใหญ่โต หลังจากนั้นมีการเจรจาไก่เกลี่ยกัน โดยในครั้งแรกนายพีระสินไม่เดินทางมาที่สถานีตำรวจเพื่อไกล่เกลี่ย
แต่วันนี้ตนเองทราบว่าพี่ชายเดินทางมาพร้อมกับนายอนุสร ทนายความ นางสาวปัท อายุ 31 ปี ภรรยาผู้ตาย และลูกสาวผู้ตายน้อง มาริน วัย 1 ขวบ เพื่อพูดคุยกับนายพีระสิน ผู้ก่อเหตุ เกี่ยวกับการเจรจาไกล่เกลี่ยคดีที่เกิดขึ้น ตนเองติดใจและสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะผู้ก่อเหตุสามารถนำปืนขึ้นไปบนชั้น 2 ได้อย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง สน. ถึงไม่มีการยิงสกัดจับ โดยการยิงคนร้ายหรือยิงรถของคนร้ายเลย เท่าที่มองด้วยตาเปล่าซอยบริเวณทางเข้าก็ขับแคบจนรถไม่สามารถสวนกันได้ ทำไมถึงออกไปได้ง่ายดายขนาดนั้น ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อย่างไร
ถึงแม้ตำรวจจะบอกว่าผู้ที่ก่อเหตุเป็นผู้ที่ร่ำรวย แต่ก็ไม่สามารถมาฆ่าคนแบบนี้ได้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโหดเหี้ยมเกินไป ผู้ตายเป็นคนนิสัยดี ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร นอกจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผู้ตายก็ยังเป็นเสาหลักของครอบครัวด้วย ตอนนี้ลูกสาววัย 1 ขวบต้องกำพร้าพ่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้านนายวิชญ์สุธน สุริยะฟอง ทนายอาสาประจำ สน.หลักสอง เปิดเผยว่า ช่วงก่อนจะเกิดเหตุ ตนเองสังเกตเห็นรถกระบะตู้ทึบ ด้านหลังสีบรอนซ์เทา ขับมาพร้อมกับรถเบนซ์สีดำ จอดที่บริเวณด้านหน้าเสาธง ก่อนจะขึ้นไปบริเวณชั้น 2 หลังจากนั้นตนเองมานั่งรับประทานอาหารหาข้างอาคารจุดที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงปืนประมาณ 8 นัด ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้มาจากชั้น 2 หลังจากนั้นเห็นกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนก่อเหตุวิ่งลงมาจากชั้น 2 แล้วรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นมีคนบอกให้ตนเองรีบหลบ เพราะกลัวจะเกิดลูกหลง จากนั้นคนที่วิ่งลงมารีบขึ้นกระบะขับนำไปก่อน ตามด้วยรถเบนซ์ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ตนเองไม่ทราบรายละเอียดคดีที่ทั้งสองฝ่ายมาเจรจากัน มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอุกอาจมาก ตนเองไม่ทราบรายละเอียดการตรวจสอบอาวุธก่อนเข้าไปใน สน. ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อน
ล่าสุดตำรวจชุดสืบสวนตำรวจนครบาล 9 รวบตัวนายพีรสิน หรือ พี อายุ 27 ปี ผู้ก่อเหตุได้แล้ว เวลาประมาณ 17.00 น. โดยพบผู้ต้องหาที่บ้านของผู้ต้องหา ภายในซอยพระราม 2 ซอย 51 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าตัวหลังก่อเหตุ ได้กลับมานั่งกินข้าวที่บ้าน และใช้ชีวิตตามปกติ
ต่อมาหลังจากที่ผู้ต้องหาถูกจับกลุ่มได้ทางเจ้าที่ตำรวจก็ได้มีการพาตัวผู้ต้องหามาสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ทางผู้ต้องหาตอนแรกไม่ให้ความร่วมมือในการสอบปากคำ จนกระทั่งพ่อของผู้ต้องหาเดินทางเข้ามาช่วยพูดคุย งผู้ต้องหาให้ความร่วมมือในการสอบสวน หลังจากการสอบปากคำได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ตำรวจยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดในการสอบปากคำให้ทราบ ก่อนที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ก็ได้มีการส่งตัวผู้ต้องหาให้กับพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง เพื่อสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง
ระหว่างที่มีการส่งตัวผู้ต้องหาขึ้นรถนั้น ทีมข่าวพยายามสอบถามผู้ต้องหาถึงสาเหตุที่ได้มีการลงมือในครั้งนี้ ไปไหมว่าตอนที่เกิดเหตุนั้นเจ้าตัวมีสติครบดีไหม หลังทราบมาว่าตัวของผู้ต้องหาเองก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รวมถึงอยากขอโทษอะไรกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ตอบ ก่อนจะใช้เสื้อคลุมหัวเดินขึ้นรถไป ช่วงหนึ่งญาติของผู้เสียชีวิตตะโกนด่าทอผู้ต้องหาตลอดเวลา
นอกจากนี้ มีกล้องวงจรปิด เมื่อช่วง 18.07 น. เป็นภาพวินาทีที่ตำรวจชุดสืบสวนบุกเข้าไปจับกุมนายพีรสิน ในบ้านพักก่อนควบคุมตัวออกจากบ้าน โดยตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุขึ้นรถกระบะสี่ประตู สีบรอนซ์เทาขึ้นรถไป กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ละช่วงที่เกิดเหตุภายในโรงพักด้วย
Advertisement