กลายเป็นที่ถูกพูดถึงกันภายในโลกโซเชียลฯ อย่างแพร่หลาย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Pongpat Rungkasam ได้ออกมาโพสต์ภาพวัดร้างแห่งหนึ่งชื่อว่า วัดเขาเจดีย์วิสัยไตรรัตนาราม ตั้งอยู่หลังองค์พระใหญ่ ในพื้นที่ของวัดวิสัยบรรพต ต.วิสัยเหนือ อ.เมือง จ.ชุมพร
ซึ่งภายในคลิปที่โพสต์นั้น จะเห็นว่ามีทั้งเจดีย์ กุฏิ ศาลาปฎิบัติธรรม พระพุทธรูป รูปปั้นต่าง ๆ ป้ายรายนามผู้บริจาคสมัยที่มีการก่อสร้างแรก ๆ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ล้วนไม่ได้ถูกใช้งานมาแล้วเป็นเวลานาน ทำให้บรรดาเถาวัลย์และต้นไม้นานาชนิดขึ้นปกคลุมตั้งแต่ทางเข้าตลอดถึงสิ่งปลูกสร้างด้านในทั้งหมด
ล่าสุดวันที่ 16 พ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเดินทางไปพบกับ “นายพงศ์พัฒน์ รุ่งเกษม” อายุ 32 ปี ผู้โพสต์คลิปและเรื่องราวทั้งหมดลงบนเฟซบุ๊ก เจ้าตัวและชาวบ้านรวม 4 คน ได้พาทีมข่าวขึ้นไปดูวัดเขาเจดีย์วิสัยไตรรัตนาราม พบว่าเป็นพื้นที่เขตป่าชุมชนขนาดใหญ่ หมู่ 1 ต.วิสัยเหนือ อ.เมือง จ.ชุมพร ซึ่งบริเวณปากทางเข้าจะเป็นป่ารกทึบ หากไม่รู้ว่าด้านในมีสิ่งปลูกสร้าง ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อน ทีมข่าวต้องเดินเท้าเข้าไปจากถนนคอนกรีตประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอกับซุ้มประตูวัดที่ระบุชื่อวัดและชื่อผู้สร้าง รวมถึงปีที่สร้างซุ้มประตู คือ พ.ศ. 27 ซึ่งถือว่าเป็นซุ้มประตูปูนเปลือยที่วิจิตรงดงามมาก ด้านบนจะเป็นรูปปั้นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ
ต่อมาเมื่อเดินเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร โดยตลอดทางจะเป็นป่ารกทึบทั้งหมดไม่ได้มีถนนสำหรับสัญจรเข้าออก ขวามือจะพบแท็งค์น้ำรูปเรือสำเภาขนาดใหญ่ตั้งอยู่และติด ๆ กันจะเป็นธรรมเจดีย์มะ 8 สร้างโดย “หลวงพ่อแม้นโชติปาโล” เมื่อ พ.ศ. 17 ความสูงประมาณ 15 เมตร มีความสวยสดงดงามมาก รอบ ๆ ประดับประดาด้วยปูนปั้นลายไทยหลายรูปแบบ และยังมีธาตุใส่กระดูกวางอยู่ 3-4 หลัง ถัดไปด้านหน้าเจดีย์จะมีรูปปั้นพระพุทธรูปปางอธิษฐานลักษณะปูนเปลือยประดิษฐานอยู่ 1 องค์
จากนั้นหากเดินลึกเข้าไปอีกประมาณ 20 เมตร ซ้ายมือจะพบกับกุฏิไม้ 1 หลัง 2 ห้องนอน สภาพรกร้าง มีข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจาย ใกล้ ๆ กันจะเป็นกุฏิปูนหลังใหญ่ 2 ห้องนอนเช่นกัน สภาพภายในห้องเป็นห้องรกร้างมีค้างคาวและตุ๊กแกอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง ด้านหน้ามีป้ายเขียนว่า “ศูนย์โลกุตรธรรมชุมพร” และมีข้อความคติธรรมแปะตามฝาผนัง อาทิ “ตั้งจิตปนิธานอย่างหาญกล้า จะมอบเวลาและชีวิตอุทิศให้ จะเผยแผ่พระธรรมให้กว้างไกล ด้วยดวงใจมุ่งหวังฝั่งนิพพาน สร้างกุศล ปนเหล้าไม่เอานะ ควรจะละ ให้ขาด ประกาศสั่ง ดื่มสุรา ยาเมา เอาบุญบัง มันน่าชัง เหลือฝืน ถ้าขืนมี เป็นชาวพุทธ ควรถึง ซิ่งธรรมะ ควรจะละ บางอย่างในบางที่ ในพุทธสถาน ลานเจดีย์ อย่าให้มี สิ่งชั่ว เรื่องมัวเมา”
จากนั้นเดินเข้าไปอีกประมาณ 20 เมตร จะเป็นศาลาประดิษฐ์พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 1 องค์และใกล้กันจะมีพระพุทธรูปปางสมาธิ 1 องค์ ระบุข้อความว่า “พ่อท่านนิมิตร” และชื่อผู้สร้าง “ลาภ-หีด” พ.ศ. 14 พร้อมข้อความ “ศักดิ์สิทธ์” และตัวเลขคล้าย 62 เขียนไว้ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเลขนี้หมายถึงอะไร ทั้งนี้ด้านหน้ายังมีโกศใส่กระดูกวางอยู่ 1 โกศ แต่ไม่ระบุชื่อว่าเป็นของใคร
ติด ๆ กันบริเวณท้ายสุดของพื้นที่ จะมีกุฏิไม้ยกสูง 1 หลัง มีห้องนอน 3 ห้องตั้งอยู่ พร้อมกับมีป้ายรายชื่อผู้บริจาคติดไว้ที่ฝาผนัง และมีห้องน้ำอยู่ด้านหน้า แต่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่เล็ก ทั้งนี้จากที่ทีมข่าวสำรวจรอบ ๆ แล้วพบว่ายังคงมีร่องรอยของระบบน้ำประปาและระบบไฟฟ้าอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันไม่สามารถใช้งานได้แล้ว
ทีมข่าวมีโอกาสได้คุยกับ “นายฤทธิ์ เพ็ญสมบูรณ์” อายุ 83 ปี อดีต ส.อบต.วิสัยเหนือ เนื่องจากเจ้าตัวเป็นคนในพื้นที่ จึงทราบเรื่องราวที่มาที่ไปทั้งหมดของวัดดังกล่าว โดยเล่าว่าจริง ๆ แล้วพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ป่าสงวนไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ดูแลโดยกรมป่าไม้ จ.ชุมพร พื้นที่ประมาณ 93 ไร่ แต่พื้นที่ที่มีการปลูกสร้างนั้นประมาณ 20 ไร่ และมอบอำนาจทั้งหมดให้คณะกรรมการชุมชนเป็นคนดูแลมาโดยตลอด มีการติดป้ายชัดเชนว่า “เขตป่าชุมชน หมู่ 1 ต.วิสัยเหนือ มีเนื้อที่ 93 ไร่ ห้ามมิให้ใครตัดไม้ทำลายป่าและทำสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ โดยเด็ดขาด นอกจากได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการชุมชน”
กระทั่งเมื่อประมาณปี 2514 มีพระสงฆ์รูปหนึ่งชื่อ “พระวันทีฯ” เดินทางมาจาก จ.ชัยภูมิ ได้แวะเข้ามาสร้างกุฏิไม้เล็ก ๆ ที่บริเวณกลางป่า พร้อมกับมีชาวบ้านเข้ามาช่วยสร้างพระพุทธรูป “พ่อท่านนิมิตร” ขึ้น รวมถึงพระพุทธรูปองค์ใหญ่ด้วย แต่อยู่ได้ไม่กี่ปี “พระวันที” ก็เดินทางกลับ จ.ชัยภูมิ ในประมาณปี 2516 เนื่องจากเป็นพระสายป่า มีความประสงค์จะธุดงค์ไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ทำให้ปัจจุบันกุฏิดังกล่าวผุพังไปตามกาลเวลาไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว
ต่อมาประมาณปี 2516 “หลวงพ่อศรีฑัตฯ” เดินทางมาเห็นพื้นที่ตรงนี้และบอกกับชาวบ้านว่าเหมาะสมแก่การสร้างพระพุทธรูปใหญ่องค์ใหญ่สักองค์ ชาวบ้านก็เห็นด้วยจึงมีการสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรขึ้นมา 1 องค์ ขนาดประมาณหน้าตักกว้าง 19 วา 2 ศอก 9 นิ้ว สูงประมาณ 20 วา 2 ศอก 9 นิ้ว แต่ระหว่างที่มีการสร้าง “หลวงพ่อศรีฑัตฯ” ได้มรณภาพเสียก่อนในประมาณปี 2521 หลังจากนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างจนเสร็จในปี 2536 งบประมาณ 15 ล้านบาท จนกลายเป็นสถานที่สำคัญของ จ.ชุมพร จวบจนปัจจุบันหรือรู้จักกันในชื่อ “วัดพระใหญ่”
แต่ระหว่างนั้นประมาณปี 2517 มีชาวบ้านในพื้นที่มาบวชเป็นพระที่วัดพระใหญ่ชื่อ “พ่อหลวงแม้น” แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวชอบความสงบจึงขึ้นไปสร้างธรรมเจดีย์มะ 8 ไว้ 1 องค์ แต่ยังสร้างไม่เสร็จดีก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยประหนึ่งกุฏิ พร้อมกับสร้างแท็งค์น้ำรูปเรือเอาระบบน้ำระบบไฟเข้าไป และมีชาวบ้านมาบริจาคเงินสร้างซุ้มประตูให้ในปี 2527 จากนั้น “หลวงพ่อแม้น” อาศัยอยู่ที่ป่านั้นตลอด จนมรณภาพลงในปีประมาณ 2545 ต่อมาในปี 2550 มีพระสงฆ์อีกรูปชื่อ “พระเมธา” เดินทางมาจาก จ.สุราษฎร์ธานี และทราบว่าในพื้นที่ตรงนี้เคยมีพระสงฆ์เข้าไปพักก็เลยเข้าไปสร้างกุฏิปูน 1 หลังและกุฏิไม้อีก 1 หลังขึ้น รวมถึงรูปปั้นพระพุทธเจ้าปลงผม รูปสัตว์ต่าง ๆ จากนั้นไม่นานก็มีลูกศิษย์เป็นแม่ชี 1 รูปตามมาอยู่ด้วย โดยให้แม่ชีอยู่กุฏิไม้ และ “พระเมธา” อยู่กุฏิปูน
แต่เนื่องจากลักษณะการบิณฑบาตของ “พระเมธา” จะรับแต่ของสด แล้วเอาไปให้แม่ชีปรุง เพื่อฉันด้วยกันในป่าตรงนั้น จนกระทั่งชาวบ้านเริ่มเอะใจจึงลองขึ้นไปดูปรากฏว่าเห็น “พระเมธา” กับแม่ชีดูสนิทสนมกันและเห็นว่าทั้งครูอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ดูไม่เหมาะสม ชาวบ้านจึงหมดศรัทธาทำให้ทั้ง 2 รูปตัดสินใจเดินทางออกจากพื้นที่ไปเมื่อประมาณปี 2554 แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีพระสงฆ์ขึ้นไปที่นั่นอีกเลย มีเพียงแค่ชาวบ้านที่พากันขึ้นไปบูรณะทำความสะอาดปีละครั้ง แต่ไม่สามารถตัดไม้หรือทำอะไรไปได้มากกว่าทำความสะอาดเพราะอย่างที่บอกว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ป่าไม้ชุมชน
“นายฤทธิ์” ยืนยันว่าที่ผ่านมาสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้น เพราะหากพูดกันตามภาษาชาวบ้านตรงนี้ไม่ใช่วัดไม่มีเมรุเผาศพ เป็นเพียงแค่ที่พักสงฆ์เท่านั้น แต่ก็มีชาวบ้านบางคนที่เรียกสถานที่นี้ว่าวัด เพราะอ่านตามป้ายตรงบริเวณซุ้มประตู ซึ่งคาดว่าชื่อ “วัดเขาเจดีย์วิสัยไตรรัตนาราม” น่าจะมาจาก “หลวงพ่อแม้น” ตั้งให้ในตอนนั้น
สำหรับสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นพื้นที่ปิด ใครอยากจะขึ้นไปเที่ยวก็ขึ้นไปได้เพียงแต่อย่าตัดไม้ทำลายป่า ส่วนกรณีที่กลับมาเป็นกระแสครั้งนี้นั้น ตนยอมรับว่าจริง ๆ แล้วพวกตนก็ไม่ได้อยากปล่อยให้พื้นที่ตรงนี้รกร้างว่างเปล่าตั้งแต่แรก เพียงแค่มันเป็นพื้นที่ของป่าไม้ชุมชนโดยกรมป่าไม้จึงไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ครั้งนี้ถ้าหากว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอนุญาตหรือจะเข้ามาสนับสนุน พวกตนก็ยินดีที่จะบูรณะสถานที่แห่งนี้ใหม่ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่พักผ่อนของจังหวัด เพราะที่ผ่านมาก็มักจะมีชาวต่างชาติขึ้นไปเยี่ยมชมอยู่บ่อยครั้ง และในเดือน ก.พ. 66 ก็จะมีการจัดงานใหญ่ประจำปีที่วัดพระใหญ่ด้วยหากบูรณะทันก็จะดีมาก
ด้าน “นายพงศ์พัฒน์ รุ่งเกษม” อายุ 32 ปี ผู้โพสต์ภาพและคลิปเรื่องราวทั้งหมดลงบนเฟซบุ๊กจนกลายเป็นกระแสโด่งดัง เจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์พร้อมเพื่อนอีกคนที่ขึ้นมาด้วยในวันนั้น “นายมโนทัย ปูหู” อายุ 38 ปี ทั้งคู่เล่าให้เราฟังว่าพวกตนขึ้นมาที่นี่พร้อมกับเพื่อนรวม 4 คน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ย. 65 เวลาประมาณ 15:00 น. เพราะก่อนหน้านี้มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้เล่าให้ฟังว่ามีเจดีย์องค์หนึ่งอยู่ในป่าหลังวัดพระใหญ่ แต่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนานแล้วพร้อมยืนยันว่าเมื่อก่อนเป็นเจดีย์ที่สวยมาก พวกตน 2 คนซึ่งอยู่ต่างหมู่บ้านก็เกิดความรู้สึกอยากดูจึงชวนกันขึ้นมาในวันหยุด
ตอนแรกที่เดินเข้ามายอมรับว่าหลงอยู่เป็นชั่วโมง เพราะลักษณะของป่าเป็นป่ารกทึบมีทางแยกหลายทางและไม่ได้มีเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งที่จะบ่งบอกว่าจะมุ่งหน้าไปยังวัดร้าง บวกกับหากตนมองจากภายนอกก็ไม่เห็นยอดเจดีย์โผล่ออกมาด้วย กระทั่งเดินมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ โดยมีเพื่อนที่เป็นคนในหมู่บ้านนำทางก็เจอกับศาลพระภูมิ 1 หลัง ตั้งอยู่กลางป่า ห่างจากถนนประมาณ 100 เมตร จึงคิดว่าหากเดินไปข้างหน้าน่าจะเจอเจดีย์ก็เลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เคยคิดจะท้อเลยสักนิด
จนพวกตนเดินเท้าเข้ามาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เจอกับซุ้มประตูวัดและเดินไปเรื่อย ๆ ก็เจอกุฏิ เจอแท็งค์น้ำรูปเรือและเจอเจดีย์ในที่สุด ยอมรับเลยว่าวินาทีที่เห็นครั้งแรกคือตกใจเพราะทั้งสวยงามและขลังมากไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน เสียดายที่ไม่ได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้
ด้วยความเสียดายนี้ตนก็เลยตัดสินใจถ่ายรูป ถ่ายคลิปและตั้งใจไว้แล้วว่ากลับบ้านไปแล้วจะเอาไปโพสต์เผื่อว่าจะมีหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องภายใน จ.ชุมพร เข้ามาเห็น ซึ่งก่อนโพสต์ลงเฟซบุ๊ก “นายพงศ์พัฒน์” บอกว่าตัวเองได้ตั้งจิตอธิฐานที่บ้านไว้ด้วย “ขอให้คนรู้จักวัดร้างนี้มากขึ้น”
หลังจากโพสต์ไปไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็มีการแชร์ออกไปเยอะมากจนน่าตกใจ แล้วยิ่งอมรินทร์ทีวีติดต่อมาวันนี้ก็เลยทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ตนขอพรไว้ได้สำเร็จแล้วสมพรปากแล้ว ดีใจมากเพราะอย่างน้อย ๆ นอกจากชาว จ.ชุมพร จะได้เห็น หลังจากนี้เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น
ด้าน นายวิรัช เพชรรณ อายุ 51 ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 เจ้าตัวก็ยอมรับว่าหลังได้เห็นกระแสโซเชียลฯ ที่มีการแชร์ภาพ แชร์คลิปวัดนี้ออกไปอย่างแพร่หลายก็ดีใจมาก ๆ ที่หลายคนให้ความสนใจและอยากจะเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ตัวเองก็เริ่มมีความคิดที่อยากจะร่วมระดมกำลังจากชาวบ้านขึ้นไปบูรณะทำความสะอาดพื้นที่ตรงนั้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้หากหน่วยงานใดที่อยากจะสนับสนุนไม่ว่าทั้งภาครัฐหรือภาคเอกชนตนก็ยินดี และตนก็หวังเหมือนกันว่าสถานที่ตรงนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์คของชุมชนอีกที่
Advertisement