เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 65 พบศพ ด.ญ.วรจนา มหาวงษ์ หรือ น้องจีจี้ อายุ 14 ปี ลอยน้ำสภาพอืด มีบาดแผลขนาดใหญ่บริเวณศีรษะ 2 แผล ที่แขนทั้ง 2 ข้าง และที่ใบหน้าอีกหลายแผล ผมหลุดหายไปเป็นหย่อม ที่บริเวณประตูระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี กทม. ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบเวลา 11.38 น. ผู้ตายเดินออกจากบ้านไปกับเด็กชายวัย 12ปี เมื่อเดินไปถึงปลายสะพานสุดมุมกล้องวงจรปิดก็ได้แยกทางกัน
ล่าสุดวันที่ 30 ส.ค. 65 เวลา 11.00 น. พ่อแม่และพี่น้องของน้องจีจี้ได้เดินทางมาติดต่อรับศพที่นิติเวช โรงพยาบาลศิริราช เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดกำแพง กทม.
นางสาวนพาภร ใบศรี อายุ 52 ปี ผู้เป็นแม่ ยอมรับว่าหลังจากรู้ว่าลูกสาวหายตัวไปก็กินไม่ได้ พยายามกินแล้ว มันก็ไปติดอยู่ที่คอ ดื่มน้ำก็ไม่ช่วยอะไร เพราะมันกินไม่ลงจริง ๆ ขนาดจะนอนก็นอนไม่หลับสักคืน เพราะคิดถึงลูก แล้วยิ่งเมื่อวานไปเห็นสภาพลูกสาวกลายเป็นศพก็ยิ่งทำใจไม่ได้จริง ๆ เพราะที่ผ่านมาลูกไม่เคยทำอะไรให้กังวลใจเลยสักครั้ง กลับกันลูกจะเป็นรอยยิ้มให้กับพ่อแม่และคนรอบข้างเสมอ ชอบกิน ขยัน ใครจ้างให้ไปซื้อของให้ก็ไป มีแต่คนรักลูก กับเพื่อน ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน
วันที่ 27 ส.ค. 65 จากภาพวงจรปิดที่เห็นว่าลูกสาวเดินออกไปกับน้องกอ อายุ 12 ปี ลูกไม่ได้เข้ามาบอกพ่อแม่เลยว่าจะไปไหน จู่ ๆ ก็พากันออกไป ซึ่งตอนแรกตนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกออกไปกับใครบ้าง กระทั่งได้เห็นคลิปวงจรปิดจากอมรินทร์ ทีวี เมื่อคืนนี้เป็นครั้งแรก อดติดใจไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากตลอด 2 วัน ตนพยายามตามหาลูกวันที่ 27-28 ส.ค. 65 ตนก็เคยสอบถามกับน้องกอแล้วทั้ง 2 วัน เพราะเป็นเด็กในละแวกบ้านที่สนิทกับลูกสาวมากที่สุดว่าเห็นลูกสาวตนบ้างไหม เพื่อจะได้ออกตามหาในเส้นทางเหล่านั้น แต่ถามทุกครั้งที่ถามน้องกอก็ตอบว่าไม่รู้ไม่เห็นตลอด จึงไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน
ซึ่งตนรู้สึกว่าหากน้องกอเล่าความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ถามว่าเดินออกไปกับลูกสาวตนตามภาพวงจรปิด ความหวังที่ตนจะเจอลูกในสภาพยังมีชีวิตก็อาจจะมีบ้าง นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. 65 หลังจากลูกสาวหายตัวไปและตนยังไม่ได้ออกตามหา เพราะไม่คิดว่าลูกจะประสบเหตุร้าย ตนมาทราบภายหลังว่าอีกมุมหนึ่งตรงบริเวณสะพานรถไฟบางบอน เวลาประมาณ 12.30 น. มีคนงานชายเมียนมากำลังซักผ้าแล้วเห็นเด็กจมน้ำพอดี และเห็นด้วยหางตาว่ามีเด็กชายอีก 1 คนตรงริมฝั่งร้องไห้ ก่อนจะลุกวิ่งหนีออกไปจากจุดเกิดเหตุ
ตอนนั้นคนงานก็ไม่ได้เอะใจ เพราะต้องช่วยคนที่จมน้ำก่อน ด้วยการโยนลูกบอลลงไปให้ ก่อนจะกระโดดลงไปช่วย แต่ช่วยไม่สำเร็จ เด็กคนนั้นจมหายไปต่อหน้า เนื่องจากกระแสน้ำไหลเชี่ยว คนงานจึงมีการประสานขอความช่วยเหลือกับเพื่อนคนไทยเพื่อให้ประสานต่อไปยังเจ้าหน้าที่ อปพร.เขตบางบอน และเจ้าหน้าที่กู้ภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางขุนเทียน เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงเริ่มปฏิบัติการค้นหาอยู่ 4 ชั่วโมง เวลา 14.00-18.00 น. แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ ส่วนเด็กชายที่เห็นตอนแรกก็หายไปเลย
แล้วประจวบกับช่วงเวลา 12.41 น. ของวันที่ 28 ส.ค. 65 ตนได้เดินทางไปแจ้งความว่าลูกสาวหายตัวไปที่ สน.บางขนุเทียน แล้วไม่นานช่วงบ่ายของวันเดียวกัน มุมของการปฏิบัติการค้นหาเด็กจมน้ำที่สะพานรถไฟบางบอนก็ยังมีการค้นหาอยู่ ยังไม่รู้ว่าเด็กที่ตามหาคือใคร จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.00 น. เจ้าหน้าที่ก็พบกับรองเท้าแตะสีดำ 1 คู่ บริเวณบนบกริมฝั่งคลองสะพานรถไฟ บวกกับมีชาวบ้านมาบอกเจ้าหน้าที่ว่าในลูกตนหายไปจากบ้าน เจ้าหน้าที่จึงประสานให้ตนกับสามีไปดูรองเท้า จึงยืนยันว่าเป็นรองเท้าของลูกสาว ตอนนั้นถึงมั่นใจว่าลูกสาวน่าจะพลักตกน้ำหรือประสบเหตุจากจุดนี้ ในวันนั้นเจ้าหน้าที่ร่วมค้นหาทั้งใต้และเหนือผิวน้ำ รวมถึงบนบก ตั้งแต่ 13.00-22.00 น. ก็ไม่มีวี่แววจะเจอร่างของลูกสาวเหมือนเดิม
ช่วงบ่ายของวันที่ 27 ส.ค. 65 มีชาวบ้านเห็นว่าน้องกอเดินไปมาในละแวกบ้าน หากน้องไปเล่นเกมจริงน่าจะกลับเย็น ไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนั้น ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้ตนอดคิดไม่ได้ว่าเด็กชายที่มีคนเห็นขณะลูกสาวตนจมน้ำจะเป็นน้องกอหรือไม่ เพราะด้วยนิสัยใจคอของลูกสาวไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร หากไปไหนก็จะไปคนเดียว ถ้าสนิทสุดก็จะมีแค่น้องกอเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามตนไม่ได้ปักใจปรักปรำ จะให้ตนตอบว่าการเสียชีวิตของลูกสาวเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรมจนก็คงตอบไม่ได้ เนื่องจากผลการชันสูตรศพอย่างละเอียดจะต้องรออีก 7-14 วัน เบื้องต้นใบมรณบัตรวันนี้ที่ได้รับ ระบุสาเหตุการเสียชีวิตแค่ว่าขาดอากาศจากการจมน้ำ
สิ่งเดียวที่ตนทำได้วันนี้คือนำเสื้อผ้าชุดโปรดของลูกสาว เป็นเสื้อยืดลายสปอนซ์บ็อบ กางเกงวอร์มสีเทา และเสื้อคลุมยีนส์มาใส่ให้ลูกสาว และเคลื่อนร่างไปประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมกับอยากจะบอกลูกสาวว่า "ให้น้องไปสบาย ต่อให้แม่รับไม่ได้แค่ไหนก็ต้องรับให้ได้ น้องไม่เคยทำให้แม่ลำบากใจ มีแต่ทำให้แม่หัวเราะ แม่จำได้ เวลาที่น้องยังเล็ก น้องจะจ๊ะเอ๋แม่ และบอกให้แม่สู้ ๆ นะ"
นอกจากนี้วันที่ลูกสาวหายตัวไป ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย เพราะเมื่อคืนนี้ตนไปเจอโทรศัพท์ลูกอยู่ใต้ผ้าห่มบนที่นอน แล้วเมื่อเปิดดูภายในอัลบั้มภาพ ก็พบกับคลิปสุดท้ายที่น้องจีจี้ถ่ายไว้ ภายในคลิปน้องจะพูดประมาณว่า "โตขึ้นหนูจะเป็นเด็กดีของพ่อแม่ จะไม่กินเหล้าสูบบุหรี่" แล้วก็ทำท่าดูดนมจากขวด เหมือนแสดงให้เห็นว่าจะดื่มแต่นม ไม่ดื่มเหล้า
ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจุดเพิ่มเติมจากเมื่อวาน พบว่าวันที่ 27 ส.ค. 65 กล้องตัวที่ 1 ถัดจากสะพานหน้าบ้านผู้เสียชีวิต เวลา 11.38 น. เห็นน้องจีจี้ยังคงเดินอยู่กับน้องกอ (นามสมมติ) บนถนน มุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ และกล้องตัวที่ 2 เวลา 11.48 น. ห่างออกไปประมาณ 250 เมตร มุ่งหน้าไปยังถนนรถไฟก่อนถึงสถานีบางบอน ก็ยังเห็นทั้ง 2 คนเดินไปด้วยกัน โดยทั้ง 2 ช่วงเวลาการทั้งคู่จะเดินในลักษณะเป็นคู่ ไม่มีใครเดินนำหรือเดินตาม หลังจากนั้นน้องกอเดินกลับมาคนเดียว
นอกจากนี้ มีโพสต์สตอรี่เฟซบุ๊ก เป็นภาพเด็กประมาณ 4-5 คนกำลังเล่นน้ำกันอยู่ที่สะพานจุดเกิดเหตุ คลิปถูกถ่ายเมื่อกลางวันของวันที่ 27 ส.ค. 65 ภายในคลิปจะเห็นเด็กผู้หญิง 1 คน หันหลังสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีดำลายจุด ผมสั้น รูปร่างสันทัด
นายนิพนธ์ จันทะแสน อายุ 41 ปี เจ้าหน้าที่ อปพร.เขตบางบอน ทีมกู้ภัยที่ร่วมค้นหาน้องจีจี้ เล่าว่าวันที่ 27 ส.ค. 65 เวลา 12.10 น. ได้รับแจ้งว่ามีเด็กจมน้ำที่บริเวณสะพานข้ามทางรถไฟ เลยเดินทางไปค้นหาตั้งแต่เวลา 13.00 น. ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นที่ตนได้รับจากผู้แจ้งตอนนั้น มีคนงานเมียนม่าตรงนั้นเห็นเด็กลอยไปตามน้ำ ห่างจากสะพานประมาณ 50 เมตร พร้อมกับได้ยินเสียงเด็กผู้ชายตะโกนร้องไห้พูดว่า "ช่วยพี่ผมด้วย พี่ผมตกน้ำ" พอตนหันไปดู ก็เห็นแค่หลังวิ่งออกไปทางถนนใหญ่ จำได้ว่าเป็นผู้ชายไม่ใส่เสื้อ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเจอเด็กชายคนนั้นอีกเลย ชาวเมียนม่าก็โยนลูกบอลที่มีอยู่ในแคมป์ลงไปให้เด็กที่จมน้ำ แต่เด็กคว้าไม่ทัน เขาจึงกระโดดลงไปพยายามจะช่วย แต่เด็กคนนั้นก็จมหายไปต่อหน้าต่อตา
วันแรกที่ค้นหาโดยการใช้เรือ 2 ลำของ อปพร.บางบอน บางแค และบางขุนเทียน นักประดาน้ำจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รวมประมาณ 20 นาย ร่วมกันค้นหาทั้งบนบกและในน้ำ ในระยะทาง 2-3 กม. ถัดจากจุดพลัดตก แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ จึงยุติภารกิจในเวลา 20.00 น. ต่อมาวันที่ 28 ส.ค. 65 พวกตนก็ออกมาค้นหากันตั้งแต่ 09.00 น. ทั้งบนและในน้ำเหมือนเดิม กระทั่งช่วงเที่ยงตนได้รับข้อมูลจาก สน.บางขุนเทียน ว่ามีผู้ปกครองไปแจ้งความลูกหายตัวไป ตนจึงประสานโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่เด็กที่มาแจ้งความ คือพ่อแม่ของน้องจีจี้ ซึ่งตอนนั้นตนถามว่าลูกที่หายไปได้ออกมาเล่นน้ำที่บริเวณสะพานข้ามทางรถไฟบางบอนหรือเปล่า แต่พ่อแม่ยืนยันว่าไม่เคยมาเล่นและเป็นไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ลูกสาวจะไปตลาดกับร้านเกมเท่านั้น ตนจึงไม่กล้าเล่าว่าพวกตนกำลังค้นหาเด็กจมน้ำ เพราะเกรงว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าลูกเขาจมน้ำ ทำให้เสียขวัญและกำลังใจในการตามหาลูก
จากนั้นช่วงบ่ายของวันที่ 28 ส.ค. 65 ขณะที่ทีมค้นหากำลังค้นหาไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าคนเด็กที่จมหายคือใคร ก็มาเจอรองเท้าแตะสีดำ 1 คู่ ตกอยู่ที่กอหญ้าริมสะพานข้ามทางรถไฟ จึงประสานให้พ่อแม่ของน้องจีจี้มาดู ทั้งคู่ยืนยันว่าเป็นของลูกสาวจริง ก็เลยเดินหน้าค้นหาต่อแบบมีจุดหมายแล้วว่าเด็กที่จมน้ำไปคือน้องจีจี้ จนกระทั่งเวลา 22.00 น. ก็ยังไม่เจอ บวกกับกระแสน้ำวันนั้นค่อนข้างแรง ลึกแค่ 2.5 เมตร แต่นักประดาน้ำทรงตัวไม่ได้ เนื่องจากมีการปล่อยน้ำลงสู่ทะเลบางขุนเทียนพอดี จึงยุติการค้นหาไป แล้ววันที่ 29 ส.ค. 65 เวลา 10.30 น. ตนจึงได้รับแจ้งว่ามีศพลอยไปติดที่ประตูระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี ห่างจากจุดพลัดตกประมาณ 5.3 กม.
ส่วนเรื่องบาดแผลตามศีรษะและร่างกายของน้องจีจี้ที่เจอหลังจากกลายเป็นศพ มั่นใจว่าไม่ใช่รอยใบพัดเรือหรือรอยการถูกฆาตกรรมแน่นอน เพราะตนเป็นคนในพื้นที่แล่นเรือในคลองนี้มากว่า 10 ปี รู้ดีว่าในคลองมีการตอกเสาเข็มกันดินสไลด์ตลอดแนวเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ มีตอไม้ที่มีตะปูปักอยู่ มีลวด มีเหล็กที่หลุดออกจากเสาเข็ม ดังนั้นด้วยสภาพศพที่เจอเมื่อวาน บวมอืดและเริ่มเปื่อย ทำให้ตลอดระยะทางที่ศพถูกน้ำพัดพามาอาจจะไปเกี่ยวเข้ากับตะปู เหล็ก ลวด เสาเข็มหรือท่อนไม้ที่ตนเล่าไปได้ เพราะลักษณะแผลไม่ได้ลึกมาก ยืนยันว่าศพของน้องไม่น่าจะโดนใบพัดเรือบาด เพราะปกติคลองเส้นนี้ไม่มีเรือสัญจรไปมาประจำ มีแค่เรือจากเจ้าหน้าที่เขตแล่นตรวจตรานาน ๆ ครั้ง แล้วเรือที่พวกตนใช้ค้นหาตลอด 2 วัน ก็เป็นเครื่องเอาต์บอร์ด ซึ่งใบพัดจะอยู่ใต้ลำเรือแค่ไม่เกิน 1 ฟุต ไม่สามารถที่จะไปพัดบาดร่างน้องได้ บวกกับลักษณะการค้นหาของพวกตนจะเป็นการค่อย ๆ ล่องเรือ ดังนั้นหากใบพัดเรือพวกตนไปพัดบาดร่างน้องจริง ก็จะต้องมีเจ้าหน้าที่เห็นร่างของน้องลอยขึ้นมา
บริเวณนี้เคยเกิดอุบัติเหตุเด็กพลัดตกหรือน้ำจนเสียชีวิตบ้างเมื่อ 7 ปีก่อน มีติดต่อกันถึงประมาณ 3 รายลักษณะเดียวกัน เล่นน้ำแล้วถูกกระแสน้ำพัดพาไป ตนเป็นทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่คุ้นชินกับคลองเส้นนี้ ก็อยากจะฝากเตือนผู้ปกครองไว้ว่าให้ดูแลบุตรหลาน หากเป็นไปได้ก็อย่าอนุญาตให้มาเล่นน้ำตรงจุดนี้อีก เพราะอันตราย
หลังจากนั้นพ่อของน้องจีจี้ก็เดินเข้ามาพบน้องกอ หลังจากครอบครัวพามาขอโทษ ทำให้ได้รู้ความจริงทั้งหมด ช่วงนั้นน้องกอก็ได้ลุกขึ้นไปยกมือไหว้ข้อโทษพ่อของน้องจีจี้ บอกว่า "ขอโทษครับ ต่อไปผมจะพูดแต่ความจริง ผมจะไม่โกหกแล้วครับ" พ่อของน้องจีจี้ ก็ได้พูดสั่งสอนไปว่า "ถ้าเจอเหตุการณ์แล้วมาบอกตั้งแต่แรก ก็คงไม่เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ อาจจะรู้ว่าน้องเสียชีวิตตั้งแต่วันแรกแล้วก็ได้ จะได้งมเจอ แต่นี่เพิ่งจะมาเจอตอนศพลอยไปที่ประตูน้ำ ทีหลังก็อย่าโกหก มีอะไรก็พูดความจริง โดยเฉพาะกับพ่อแม่อย่าไปโกหก ครั้งนี้พอให้อภัย แต่อย่าทำอีก มันไม่ถูกต้อง ไม่ควร ไม่ใช่ปฎิเสธอย่างเดียว สงสารคนที่เขาต้องช่วยกันงมหา"
นางพุดซ้อน (นามสมมติ) อายุ 52 ปี แม่ของน้องกอ เปิดใจกับอมรินทร์ทีวีว่า ตนตกใจ เสียใจเหมือนกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะตนก็เพิ่งจะรู้พร้อมสื่อฯ เนื่องจากที่ผ่านมาตนพยายามถามทุกวันว่าได้ไปเล่นน้ำกับน้องจีจี้ไหม แต่ลูกชายก็ปฎิเสธ และไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย บวกกับวันที่ 27 ส.ค. ที่ลูกชายออกไปจากบ้าน ตนก็ไม่ได้อยู่บ้าน แล้วตอนที่เขาวิ่งกลับมาที่บ้าน ตอนนั้นตนไม่อยู่บ้านเช่นกัน เพราะออกไปเก็บของเก่าขาย ตนกลับมาก็ไม่เห็นเสื้อผ้าชุดไหนเปียกด้วย
ตนยอมรับว่าแอบเอะใจมาตลอด เพราะจับพิรุธลูกชายได้ เนื่องจากปกติลูกชายจะสนิทสนมและไปไหนมาไหนกับน้องจีจี้ตลอด แต่ในขณะที่น้องจีจี้หายไป 2 วัน ลูกชายกลับไม่ถามหาเลย จึงแอบมั่นใจลึก ๆ ว่าวันนั้นลูกต้องไปเล่นน้ำกับน้องจีจี้ แล้วเกิดอุบัติเหตุแน่นอน ทั้งนี้ ยอมรับว่าพักหลังมานี้ลูกชายเริ่มหัดโกหก บางครั้งแอบไปเล่นเกม กลับบอกว่าไม่ได้ไปเล่น มาจับได้ทีหลังตลอด แต่ในเมื่อเขาเป็นลูก ก็พร้อมจะให้อภัยและหลังจากนี้จะเน้นย้ำตักเตือนว่าอย่าไปอยู่ใกล้น้ำ ส่วนกับครอบครัวของน้องจีจี้ ตนก็อยากขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะที่ผ่านมาก็สนิทชิดเชื้อกัน
เวลา 16.00 น. ครอบครัวน้องจีจี้ก็แจ้งให้ทราบว่าได้มีการฌาปนกิจศพน้องไปแล้ว เนื่องจากเห็นสภาพศพแล้ว ไม่อยากเก็บไว้นาน ทีมข่าวจึงเดินทางไปยังวัดกำแพง กทม. พบว่าเป็นนาทีที่ นายจันทร์ศรี มหาวงศ์ อายุ 62 ปี ผู้เป็นพ่อ กำลังเดินขึ้นไปร่ำลาลูกเป็นครั้งสุดท้ายที่หน้าเตาเผา
Advertisement