เมียนอนเมาอึ ผัวระแวงนอกใจคว้าไม้ตีตาย วิดีโอคอลโชว์ศพญาติ จัดฉากเปลี่ยนชุด (คลิป)
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุ นางวิไลพร อะพรรัมย์ อายุ 47 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองแค อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยจากการตรวจสอบพบรอยช้ำบริเวณใบหน้า ลำตัว แขน ขา มีนายกรุงทอง อายุ 65 ปี สามีของผู้ตาย ซึ่งอยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย อ้างว่าปลุกภรรยาไม่ตื่น
ล่าสุด การจากสอบสวน นายกรุงทองยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายภรรยาจนเสียชีวิต สาเหตุเนื่องมาจากความหึงหวง และประกอบกับอาการมึนเมาด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งปกติเมื่อดื่มเหล้าทั้งคู่จะมีปากเสียงทะเลาะตบตีกันตลอด แต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้ภรรยาจะเสียชีวิต
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และเตรียมที่จะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังในที่เรือนจำสระบุรีในวันที่ 24 ส.ค. 65
ทีมข่าวเดินทางลงไปในพื้นที่เกิดเหตุ หมู่บ้านบุญสกุล ซอย 1 ต.หนองแค อ.หนองแค จ.สระบุรี นางโจ้ (นามสมมติ) เพื่อนร่วมวงที่ดื่มเหล้าด้วยกัน เล่าว่า เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 65 มีตน คนตาย สามีคนตาย และนายคมสันต์ ซึ่งเป็นเจ้าของห้อง ตั้งวงนั่งดื่มเหล้ากันที่บริเวณหน้าห้องเช่าไม่มีชื่อ โดยที่ตนและนายคมสันต์จะพักอาศัยอยู่ที่นี้ แต่ทางผู้ก่อเหตุและคนตายจะพักอยู่อีกที่หนึ่ง ทั้งคู่ก็ได้เดินทางมานั่งดื่มด้วยกัน เหตุการณ์ก็ยังปกติ
ช่วงประมาณ 22.00 น. คนตายมีอาการเมาเเละเหมือนจะไม่มีสติ ทิ้งตัวนอน ตนเลยตัดสินใจให้เขาเองเข้าไปนอนในห้องนายคมสันต์ ก่อนที่ทางผู้ตายจะเมาไม่มีสติและถอดเสื้อผ้าหมด ตนจึงให้นายคมสันต์ไปเรียกสามีของผู้ตายหรือ นายกรุงทองให้เข้าไปดูแลเมียตนเองภายในห้อง จากนั้นเหมือนทั้งคู่เข้าไปคุยกันในห้อง ปรากฏว่าทางนายกรุงทองกับนางวิไลพร ผู้ตาย กลับมีปากเสียงทะเลาะกัน และใช้ราวผ้าในห้องทุบตีกัน ตนและคนอื่นจึงตัดสินใจเข้าไปห้าม ก่อนเหตุการณ์จะปกติ
ตนและทางนายคมสันต์เลยตัดสินใจให้สามีหรือนายกรุงทองนอนเฝ้าภรรยาที่ห้อง เพราะตนกับนายคมสันต์จะออกไปหาไรกินต่อที่ร้านข้างนอก ระหว่างที่ตนออกไปหาไรกินข้างนอกช่วงประมาณเที่ยง ทางคนก่อเหตุก็ได้โทรมาหาตนว่าเขาเองไม่เอาคนตายแล้ว ปล่อยให้นอนที่นี่ ตัดพ้อประมาณว่าเลิกรากัน ก่อนจะวางสาย หลังจากนั้นประมาณช่วงตี 1 ตนก็กลับมาห้องพร้อมกับนายคมสันต์ เจ้าของห้อง ปรากฏว่าสภาพที่เห็นตอนนั้นทางผู้ตายนอนจมกองอึ สภาพผ้าถุงหลุดลงมากองตรงหัวเข่า ขณะที่ไม่เจอสามีของคนตาย ตนเลยตัดสินใจเดินเข้าไปดึงผ้าถุงเขาขึ้น แต่ไม่ได้สังเกตว่าตอนนั้นใบหน้าเขาฟกช้ำหรือไม่ เพราะเขาเองนอนตะแคงข้าง และไม่ทราบว่าตอนนั้นเขาเสียชีวิตหรือยัง ตนเลยให้ทางเจ้าของห้องที่ผู้ตายนอนย้ายไปนอนกับตนอีกห้องหนึ่ง เพราะคิดว่าเดี๋ยวแฟนของคนตายกลับมาคงมานอนด้วย
จนเวลาผ่านไปประมาณตี 5 นายกรุงทอง สามีของคนตายได้มาเคาะที่ห้องของตนและบอกว่าเมียของเขาเสียชีวิตแล้ว นอนตัวแข็งให้ไปดูหน่อย ตนและนายคมสันต์เลยพูดว่า "อย่าพูดเล่นนะพี่ ไม่สนุก" ทางสามีคนตายก็บอกว่าเรื่องจริง ตนเลยรีบวิ่งไปดูสภาพตามที่เห็นคือร่างเริ่มเเข็ง ใบหน้ามีรอยฟกช้ำเขียว ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ทราบว่าช่วงเวลาตอนที่ตนออกไป คนตายและสามีได้มีเรื่องอะไรกันหรือไม่ มีการทำร้ายร่างกายกันท่าไหน
ทั้งนี้ คนตายกับทางสามีคบหาดูใจกันได้มา 1-2 ปี ที่ผ่านมามีเรื่องหึงหวง และทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ ทุบตีและทำร้ายร่างกายกันจนเป็นเรื่องปกติ เรียกว่าแผลเก่ายังไม่หาย แผลใหม่ก็มา จนใบหน้าของคนตายไม่เหลือที่ว่างแล้ว มีแต่บาดแผลฟกช้ำเต็มไปหมดตลอดจนทางผู้ตายเองมักจะเป็นคนเมาแล้วทิ้งตัว เรียกว่าเดิน ๆ อยู่ก็ร่วงลง หัวฟาดพื้น ร่างกระแทกบ่อยครั้ง จึงไม่รู้ว่าสาเหตุจริง ๆ คืออะไร
ทีมข่าวเดินทางมายังบ้าน ม.6 ต.ศรีภูมิ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ สถานที่บำเพ็ญกุศลร่างของผู้ตาย นางสาวญาดา อะพรรัมย์ หรือ แอน อายุ 49 ปี พี่สาวของผู้ตาย บอกว่า ตนกับน้องสาวได้เดินทางไปเปิดร้านเสริมสวยกันได้ประมาณ 10 ปี โดยตนเปิดร้านนวดแผนไทย ส่วนน้องสาวเปิดร้านเสริมสวย ซึ่งแต่ก่อนนั้นอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน กระทั่งเริ่มการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 น้องสาวจึงปิดร้านเสริมสวย แล้วหันไปทำงานโรงงาน โดยย้ายไปเช่าห้องเช่าอยู่ใกล้กับโรงงาน
โดยน้องสาวของตนเริ่มคบหากับผู้ก่อุได้ประมาณ 1 ปี เนื่องจากผู้ก่อเหตุรับจ้างทั่วไปและหาปลาอยู่ใกล้ตลาด ซึ่งใกล้กับร้านเสริมสวย แต่ผู้ก่อเหตุนั้นมีพฤติกรรมโหดร้ายมาโดยตลอด เพราะเวลามึนเมามักจะทุบตบตีทำร้ายน้องสาวของตน น้องสาวของตนได้พยายามตีตัวออกห่างหลายครั้ง แต่เมื่อผู้ก่อเหตุหายมึนเมา ก็จะขอโทษแล้วตามง้อคืนดี จนน้องสาวของตนใจอ่อน ตนเคยต่อว่าผู้ก่อเหตุไปหลายครั้งเกี่ยวกับการใช้กำลัง
โดยเมื่อวานนี้ เวลา 05.40 น. ผู้ก่อเหตุได้โทรศัพท์มาบอกตนว่าน้องของตนตายแล้ว ตนรู้สึกตกใจมาก จึงถามอีกฝ่ายว่าพูดจริงหรือพูดเล่น ตนได้ขอให้อีกฝ่ายเปิดกล้องวิดีโอให้ดู พบว่าน้องสาวของตนมีรอยเขียวช้ำทั่วใบหน้าและตามร่างกาย ตนได้ขอให้อีกฝ่ายรีบพาน้องสาวของตนไปโรงพยาบาล แต่อีกฝ่ายยืนยันว่าน้องของตนตายแล้ว ตนไม่เอะใจและไม่คาดคิดเลยว่าการที่อีกฝ่ายวิดีโอคอลมาหาตน อีกฝ่ายมีเจตนาจะปกปิดความผิด โดยแสร้งว่าตัวเองบริสุทธิ์
สุดท้ายครอบครัวรับไม่ได้กับเหตุที่เกิดขึ้น ตนอยากกลับบ้านกับน้องสาวในชุดสวย ไม่ใช่ชุดดำแบบนี้ ตนอยากบอกกับน้องสาวว่า "กลับบ้านนะ ครอบครัวต้อนรับเสมอ"
Advertisement
