
จากคลิปหนุ่มร้องตะโกนลั่น โดนตำรวจไล่กวด ถีบมอเตอ์ไซด์ล้มคว่ำ วันที่ 4 พ.ย. 64 ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านของ นายกฤษดา กลิ่นบานชื่น อายุ 28 ปี อาชีพทำนา ผู้เสียหาย ที่หมู่ 7 ตำบลวังลึก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 64 เวลาประมาณ 20.00 น. ตนขี่รถ จยย. ยี่ห้อยามาฮ่า เจอาร์ แต่งซิ่ง ท่อดัง กลับมาจากร้านสะดวกซื้อ ซึ่งห่างจากบ้านไปประมาณ 6-7 กิโลเมตร

เมื่อขับมาที่สี่แยกคลองระบายน้ำ 1 เห็นตำรวจ 1 นาย ขี่รถ จยย. ยี่ห้อยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ สีขาว วนเหมือนดักรออยู่ ตนจึงรีบบิดรถหนี เพราะคิดว่ารถตนเป็นรถแต่ง ไม่มีป้ายทะเบียน ตนรู้สึกว่าเวลากลางคืนแบบนี้ตำรวจไม่น่าจะมาตามจับคนเดียว จนขี่พ้นแยกแรกไป มาแยกที่ 4 แยกคลองระบายน้ำ ร.ขวา ตำรวจได้ขี่รถมาประชิดด้านซ้ายกับรถของตน และถีบตนทำให้ล้มออกจากรถด้านขวา

จากนั้น ตนพยายามวิ่งจากจุดที่ล้ม ประมาณ 500 เมตร เพื่อไปที่หลังบ้าน ระหว่างนั้น ส.ต.ต.กิตติภพ ประสมศรี วิ่งตามและเตะที่ขาพับข้างซ้ายตนหลายครั้ง ทำร้ายร่างกายทุบ เตะตามลำตัว และพยายามจะกระชากงัดหมวกกันน็อกตน จนสายรัดคางหลุดออก แต่หมวกไม่หลุด ตนได้พยายามวิ่ง และตะโกนขอให้นายอำนวย เข็มเพชร อายุ 65 ปี พ่อตนออกมาช่วย ระหว่างที่ตะโกน ส.ต.ต.กิตติภพ คู่กรณี ได้ยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ตน 1 ครั้ง จากนั้นเข้าจับกุมตัว โดยเอาเข่าล็อกไว้ เกือบล็อกกุญแจมือ จนกระทั่งพ่อของตนออกมาช่วย

หลังจากเกิดการขึ้นคืนวันที่ 2 พ.ย. 64 ตนจึงไปโรงพยาบาลสามชุก จ.สุพรรณบุรี เพื่อตรวจร่างกาย และขอใบรับรองแพทย์ เพื่อจะนำไปแจ้งความ แต่ทางหมอไม่ให้เนื่องจากไม่มีใบขอจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหมอบอกให้ตนมาเอาใบรับรองแพทย์อีกที ในวันจันทร์ที่ 25 ต.ค. 64 แต่ตนก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีใบขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.สามชุก เจ้ามาตรวจค้นภายในบ้าน แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย และคุมตัวไปที่โรงพัก ทางเจ้าหน้าที่ทีการข่มขู่กล่าวหาว่าพ่อของตนจะไปทำร้ายเจ้าหน้าที่

ซึ่งหลังจากที่ชุดสืบสวนจับกุมตัวไปนั้น ได้ขอให้ตนตรวจปัสสสาวะ ผลออกมาปัสสาวะตนเป็นสีม่วงมีสารเสพติด โดยที่ทางเจ้าหน้าที่คุมตัวไปตรวจปัสสาวะที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ไม่ให้ตนถือขวดปัสสาวะเอง และทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนทำท่าทีข่มขู่ จะตบจะทำร้าย และสีหน้าไม่พอใจ ตอนที่ตนขอถือขวดปัสสาวะตนเอง ผลตรวจของโรงพยาบาลออกมาตนมีปัสสาวะสีม่วงสารเสพติดจริง ซึ่งตนยันว่าไม่ได้เสพยาเสพติด ทำแต่ไร่นา ตนไม่มีพรรคพวก ที่บ้านอยู่กันแค่ 3 คน มีตน พ่อ และย่า แค่นั้น แต่หากเรื่องรถที่แต่งซิ่งนั้นยอมรับ และตนกลัวว่าจะโดนเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้งเปลี่ยนขวดปัสสาวะตนหรือไม่

นอกจากนี้ ตนเคยมีปัญหากับคนแถวบ้านทะเลาะวิวาทกัน เหตุการเกิดขึ้นประมาณปีที่แล้ว 2563 และตอนนี้พี่ชายจำคุกอยู่ ส่วนตนโดนคดีพกอาวุธปืนไม่มีมีทะเบียน เนื่องจากตนช่วยเหลือพี่ชายซึ่งตนไปรายงานตัวต่อศาล และศาลรอลงอาญา 2 ปี เวลาที่ตนจะทำอะไรไปไหน คนละแวกแถวบ้านก็จะคอยสอดส่องคิดว่าน่าจะรู้จั กับตำรวจข้างในเป็นการส่วนตัว ตนคิดว่าอาจจะเป็นสายให้ทางตำรวจ

เจ้าหาที่ได้แจ้งความจับตน 2 ข้อหา คือเสพยาเสพติด, พกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตนงงว่าทำไมถึงมีข้อหาพกอาวุธปืน จากที่ตำรวจบอกคืนวันที่เกิดเหตุพบปืนหล่นอยู่ด้านข้างของรถ ตนยันว่าปืนไม่ใช่ของตน และตนไม่มีปืน เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไปฝากจังที่ศาลแขวงสุพรรณบุรี ตนปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา ซึ่งพ่อและย่าได้ประกันตัวที่ศาล 4,000 บาท ส่วนข้อหาพกอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต จะอยู่ในกระบวนการสืบสวนต่อไป
เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายวันแล้ว แต่ตนเพิ่งส่งคลิปไปขอความช่วยเหลือจากเพจเฟซบุ๊กนักรบด่านเถื่อน ให้คำแนะนำให้ตนไปหาหลักฐานเพื่อชี้ชัดพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำตนหวังว่าสื่อจะช่วยให้ได้รับความเป็นธรรม เพราะตนเป็นคนไม่มีความรู้ และตอนนี้กลัวเรื่องความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว สุดท้ายตนไม่ใช่คนเกเร แค่คนทำไร่ทำนา อยากขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีกฎหมายอยู่ในมือให้ความยุติธรรมแก่ตนด้วย

นายอำนวย เข็มเพชร อายุ 65 ปี พ่อของนายกฤษดา เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุตนได้ยินเสียงปืน 3 นัด จากนั้นประมาณ 5 นาที ได้ยินเสียงลูกชายตะโกนเรียกประมาณ 3-4 ครั้ง จึงรีบวิ่งลงมาจากบ้าน จากนั้นตนจึงเดินเข้าไปขวางและผลัก ส.ต.ต.กิตติเทพ คู่กรณีออก ต่อมามีรถ จยย. เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับ ส.ต.ต.กิตติเทพ ออกไป และส่งตำรวจหัวหน้าชุดสืบ สภ.สามชุก เข้ามาเพื่อจับกุมตัวลูกชายตนออกไป แต่ตนไม่อนุญาต เพราะเป็นเวลายามวิกาล และกลัวว่าจะทำร้ายลูกตน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปโรงพัก
จนกระทั่งตำรวจชุดสืบมาค้นบ้านตนในวันที่ 24 ต.ค.64 และจับกุมลูกชายไป ตนจึงตามไปที่โรงพัก ตนยอมรับว่าลูกชายขี่รถแต่งซิ่งเสียงดังจริง แต่เรื่องเสพยานั้นตนไม่แน่ใจ เรื่องมั่วสุ่มนั้นไม่มี เพราะลูกชายทำแต่ไร่นา ตนมองว่าถ้าหากลูกชายผิดจริง มีคดีมาก็ว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะเข้าใจว่าตำรวจทำตามหน้าที่ ไม่ได้ติดใจ แต่อยากบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ว่าจะคดีอะไร ก็ไม่สมควรที่จะทำร้ายร่างกาย ทั้งเตะขาทั้งถีบ ถ้าคอหักไปก็อาจทำให้ตายได้ ตนไม่มีหลักฐานและไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียนที่ไหน อยากให้ลูกชายได้รับความเป็นธรรม

พันตำรวจตรีพัลลภ ศิลปรัตน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรสามชุก เล่าว่า ขณะที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในระหว่างการตรวจสัญญาณไฟ และพบกับนายกฤษดา ซึ่งขี่รถจักรยานยนต์มาค่อนข้างจะเสียงดัง และอุปกรณ์ของรถไม่ครบถ้วน อีกทั้งเมื่อเห็นตำรวจแล้วมีพิรุธ คือได้ขี่รถหลบหนีไปอีกทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจเลยขับรถตามไป แต่ระหว่างที่ขับรถตามไป และนายกฤษดาขับมาถึงหน้าบ้าน แต่รถเกิดเสียหลัก จึงล้มไปนอนอยู่บนพื้น ขณะที่ตำรวจพยายามจะเข้าไปสอบถาม พ่อของนายกฤษฎาได้ออกมาจากบ้าน เข้ามาขวางทางไว้ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาถึงตัวของนายกฤษดาก่อนจะพาเข้าไปในบ้าน
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าปืนหล่นอยู่ข้างรถในที่เกิดเหตุ กรณีที่ให้การณ์ว่าตำรวจทำร้ายร่างกายนั้น การที่เจ้าหน้าที่จับแขนขา กดลงกับพื้นนั้น ถือว่าเป็นยุทธวิธีของตำรวจ เพื่อป้องกันตัว เนื่องจากผู้หลบหนีได้พกอาวุธปืนติดตัวไว้ หลังจากเกิดเรื่องตนได้เข้าคุยกับนายกฤษดาแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ตนเคยเข้าไปตรวจค้น กรณีทะเลาะกับคนข้างบ้าน และกรณีพบกัญชาในตัวบ้าน วันที่ไปไม่พบกัญชา แต่จากการสอบปากคำ นายกฤษดายอมรับว่าเพิ่งจะเสพยามา และกว่าจะนำตัวมาตรวจปัสสาวะได้ ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานมาก คือทำทีเป็นซักเสื้อผ้าเพื่อถ่วงเวลา แต่สุดท้ายแล้วผลการตรวจก็ออกมาว่าพบสารเสพติด อย่างไรก็ตาม ตำรวจมีหน้าที่ที่จะต้องทำตามขั้นตอน และหลังจากนี้ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
Advertisement