วันที่ 2 พ.ย. 64 เวลา 08.00 น. นายพันธุ์ พรมดี อายุ 59 ปี ชาวตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มหมดสติ บริเวณบนถนนสายชนแดน-บ้านซับเปิบ บ้านกกจั่น หมู่ 20 ตำบลพุทธบาท อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์
โดยก่อนที่นายพันธุ์จะเสียชีวิตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบนายพันธุ์มีร่องรอยบาดแผลถูกยิงด้วยปืนลูกซอง เข้าที่ด้านหลังศีรษะ หลังหูซ้าย 2 รู หลังหูขวา 2 รู เหนือท้ายทอยอีกนับ 10 รู ด้านลูกชาย เชื่อว่าคนยิงอาจจะเข้าใจว่าพ่อเป็นลิงที่มาลักกินข้าวโพดในไร่ชาวบ้านนั้น
ล่าสุด วันที่ 3 พ.ย.64 ทีมข่าวได้รับรายงานว่านายสงกรานต์ มิ่งขวัญ หรือ หำ อายุ 51 ปี ผู้ก่อเหตุ เปิดปากรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเเล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เเละมีการนำตัวมาทำแผนที่จุดเกิดเหตุ บริเวณบนถนนสายชนแดน-บ้านซับเปิบ บ้านกกจั่น หมู่ 20 ตำบลพุทธบาท อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์
ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. นางสายฝน เเละนายสุชาติ ลูกสาวเเละลูกชายของนายพันธุ์ ผู้เสียชีวิต รวมถึงชาวบ้านใกล้เคียงได้นั่งรถอีโก้ง ขึ้นไปที่ไร่ข้าวโพด จุดเกิดเหตุที่นายพันธุ์ พรมดี อายุ 59 ปี ถูกยิงเสียชีวิต
จนเวลา 11.30 น. ตำรวจ สภ.ชนแดน ได้ควบคุมตัวนายสงกรานต์ มิ่งขวัญ หรือ หำ อายุ 51 ปี ผู้ต้องหา มาทำเเผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ ทีมข่าวได้พยายามสอบถามว่าเป็นคนทำจริงใช่หรือไม่ นายหำก็ตอบว่า ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว ทั้งนี้ทีมข่าวได้สอบถามอีกหลายคำถามเเต่นายหำเงียบเเละไม่พูด จนทีมข่าวถามว่ามีอะไรอยากจะขอโทษครอบครัวคนตายหรือไม่ นายหำก็บอกว่า "ผมผิดไปแล้ว ผมอยากขอโทษครอบครัวผู้สูญเสีย เดี๋ยวผมจะไปขอขมาคนตาย" พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ
หลังจากนั้น ตำรวจได้ควบคุมตัวนายหำทำแผน โดยนายหำได้เดินเข้าไปในไร่ข้าวโพด ฝั่งตรงข้ามกับที่นายพันธุ์เสียชีวิต ระยะทางห่างกันประมาณ 5 เมตร จากจุดที่ยิงมีต้นข้าวโพดจำนวนมากปลูกไว้ นายหำสารภาพว่า ตอนเเรกที่ขึ้นมาบนไร่ ตนตั้งใจจะมาเอารถอีโก้งที่มาจอดทิ้งไว้ ตอนนั้นตนกำลังจะขับรถกลับ ก็ได้ยินเสียงเก้งป่าร้อง "เก้ง เก้ง เก้ง เก้ง" ตนก็เอะใจ เก้งที่ไหนมันร้องอยู่เเถวนี้ ตนจึงเดินตามทางขึ้นมา ก่อนจะมานั่งที่กระท่อมที่ห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ก็ได้ยินเสียงเก้งร้องอีกครั้ง แล้วสะพายปืนเดินขึ้นมา จากนั้นก็เห็นเก้งยืนอยู่ ตอนนั้นฟ้าก็สว่างเเล้ว ตนก็กระพริบตา 2 ครั้ง กลัวเป็นคน เเต่หลังจากดูจนมั่นใจเเล้วว่าเป็นเก้ง กระพริบตาครั้งที่ 3 ก็ยังเห็นเป็นเก้งอีก ตนจึงปลดปืนลงยิงปืนไป 1 นัด
สักพักก็เห็นว่าเก้งล้ม เเละเห็นเเขนเสื้อคนสีเขียวเเขนยาว ตอนนั้นก็เข้าใจว่ายิงคน ด้วยความตกใจไม่ได้เข้าไปดู ก่อนจะถือปืนวิ่งหนีกลับบ้าน โดยที่ไม่ได้ไปเอารถอีโก้งที่มาจอดทิ้งไว้ ส่วนระยะเวลาจากจุดเกิดเหตุไปที่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเดินเท้า ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร
หลังจากนายหำทำแผนเเละรับสารภาพจบไม่นาน นางหอม ตันเสน อายุ 51 ปี เจ้าของไร่ข้าวโพด หัวหน้างานของนายพันธุ์ ก็เดินเข้าไปหานายหำ พร้อมกับถามว่า "ทำทำไม" นางหอม กล่าวทั้งน้ำตาว่า สภาพจิตใจทำด้วยอะไร คนบ้านเดียวกัน ทำไมทำไมกันขนาดนี้ รู้ว่ายิงคน ทำไมไม่ตามคนมาช่วย ปล่อยให้เขานอนทรมาน ทำไมไม่บอกให้คนอื่นรู้ ทำไมต้องทำแบบนี้ เเล้วลูกเมียเเละครอบครัวเขาจะอยู่อย่างไร
เรื่องที่นายหำยิงนายพันธุ์ตาย ตนเข้าใจว่าอาจเกิดจากความผิดพลาด เเต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมนายหำถึงไม่ยอมบอกคนอื่นให้รีบมาช่วยเหลือ ซ้ำยังไปป้ายความผิดให้นายพรานคนอื่น ตนไม่ติดใจสาเหตุการตายของลูกน้องเเล้ว เเต่เสียใจมากกว่าที่นายพันธุ์นอนจมกองเลือดยังคงติดตาอยู่ นายพันธุ์นิสัยดีมาก ไม่เคยกินเหล้า วันนั้นเขามาทำงานเเต่เช้า เพื่อหักข้าวโพดให้ได้เงินเยอะ ๆ ไปเลี้ยงครอบครัว ส่วนเรื่องจะให้นายหำได้รับโทษอย่างไรนั้นก็สุดเเล้วเเต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนรู้เพียงว่าขอให้นายหำมีจิตสำนึก นึกถึงครอบครัวลูกเมียของนายพันธุ์ก็พอ
ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของนายสงกรานต์ มิ่งขวัญ หรือ หำ อายุ 51 ปี ผู้ต้องหา พบกับนางม้วย อายุ 59 ปี เเม่ยายของนายหำ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า นายหำเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเสาหลัก นิสัยนายหำก็เป็นคนทำมาหากินตามปกติ ส่วนเรื่องของลูกเขยจะมีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ ตนไม่ทราบ นายหำกับนางน้ำทิพย์ มิ่งขวัญ หรือ ทิพย์ เมียผู้ต้องหา คบหากันมานานเเล้วเกือบ 20 ปี จนมีลูกชายเเละลูกสาวด้วยกัน ตอนนี้ลูกชายเขาบวชอยู่ ส่วนลูกสาวคนเล็กอายุ เพียง 9 ขวบ อยู่บนบ้าน
ส่วนเรื่องคดี ตำรวจได้มาพาตัวลูกเขยเเละลูกสาวไปสอบปากคำตั้งเเต่เมื่อวานเเล้ว เเต่ตอนนั้นตนไม่ได้อยู่บ้าน หลังจากนั้นตอนกลางคืน นางน้ำทิพย์ก็กลับมาที่บ้าน พอช่วงเช้าที่ผ่านมา นางน้ำทิพย์ ลูกสาวตนมาบอกตนว่า นายหำรับสารภาพเเล้ว ตนได้ยินเหตุการณ์เเล้วก็คาดว่านายหำคงไม่ได้เจตนา อาจจะมองเห็นคนเป็นอย่างอื่นมากกว่า เพราะนายหำเเละคนตายก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันมาก่อน พอช่วงสาย ๆ ตอนที่ตนไม่อยู่บ้าน พอกลับมา หลานสาวก็บอกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พานายหำ มาที่บ้าน เเละบอกกับหลานสาวว่า นายหำจะไม่อยู่บ้านสักพักใหญ่ หลังจากนั้นก็กลับไป พอตนกลับมาบ้านก็ต้องคอยปลอบหลานสาว ที่ร้องไห้ไม่หยุด ตนคาดว่าหลานสาวยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อจากนี้ตนยังไม่ได้วางแผนเกี่ยวกับการดูแลครอบครัวต่อ เเต่คาดว่าจะต้องดูแลกันไปตามมีตามเกิด
เวลา 14.00 น. ที่ศาลาธรรมสังเวช ณ วัดทุ่งเรไร พื้นที่ 85 หมู่ 1 ตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ สถานที่จัดงานบำเพ็ญกุศลศพของนายพันธุ์ พรมดี อายุ 51 ปี บรรยากาศงานศพในช่วงบ่าย มีบรรดาญาติมาร่วมงาน ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ชนแดน ได้พาตัวของนายสงกรานต์ มิ่งขวัญ ผู้ต้องหา เเละนางน้ำทิพย์ มิ่งขวัญ ภรรยาของผู้ต้องหา เดินทางมาที่วัดทุ่งเรไร เพื่อให้นายหำได้กราบขอขมาศพเเละญาติของผู้ตาย
นายหำเเละภรรยาได้เดินเข้าไปกราบตักของนางจำรัส พรมดี อายุ 53 ปี ภรรยาของนายพันธุ์ 3 ครั้ง ก่อนจะจับมือนางจำรัส เเละบอกขอโทษ ขอขมาในสิ่งที่ทำลงไป ก่อนที่นายหำจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ญาติคนตายฟังอีกครั้ง บอกว่าตนเองเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยมีเรื่องผิดใจอะไรกับคนตาย เพียงเเต่ตอนเช้าวันเกิดเหตุเหมือนมีอะไรมาบังตา ทำให้เห็นเป็นเก้ง 4 ตัว ส่วนเรื่องของการรับผิดชอบครอบครัวผู้เสียหาย ตนยืนยันว่าจะไม่ทิ้ง เเละจะให้ภรรยามาช่วยดูแลเเทนในช่วงที่ต้องเข้าคุก เเละขอสัญญาว่า ถ้าตนได้พ้นโทษออกมาจะไม่ขอจับปืนอีก
จากนั้น นายหำเเละนางน้ำทิพย์ไปจุดธูปไว้หน้าศพนายหำ พูดขอขมาเเละขออโหสิกรรมต่อศพของนายพันธุ์ บอกว่า ชาติหน้าอย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีก หลังจากไหว้ศพเสร็จ นางน้ำทิพย์ก็ยื่นซองขาวใส่เงินจำนวน 500 บาทให้ นางสายฝนถามเเม่ว่าจะให้อภัยนายหำหรือไม่ นางจำรัสก็นิ่งเงียบไม่ตอบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวนายหำกลับไปที่ สภ.ชนแดน เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมต่อไป
นางสายฝน พรมดี อายุ 37 ปี ลูกสาวคนโตของนายพันธุ์ บอกว่า หลังจากรู้ว่าตำรวจจับคนร้ายได้เเละจะพามาทำแผน ตนก็รู้สึกโล่งใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้รวดเร็ว ดีใจที่นายหำรับสารภาพ ตนไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร อโหสิกรรมให้เเต่ยังทำใจไม่ได้ เพราะถ้าเขารู้ว่ายิงไปโดนคนเเล้ว ก็น่าจะตามคนมาช่วย ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อต้องนอนทรมานอยู่ตรงนั้น เพราะกว่าน้องชายจะไปเจอพ่อ ก็เป็นชั่วโมงเเล้ว
ส่วนลางสังหรณ์ ก่อนที่พ่อจะเสียชีวิต ประมาณ 2 สัปดาห์ คือตนมีเพื่อนบ้านข้างกันที่เสียชีวิตไปแล้ว เเละตนก็ฝันว่าไปงานศพเพื่อนไม่ได้ เพราะต้องเลี้ยงลูกอ่อน สักพักก็ทีคนแก่ที่ตนไม่รู้ตักพูดขึ้นมาว่า “งานนี้มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวศพที่ 7 มึงก็ได้ไป ไปเองแบบอัตโนมัติ” ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร ก็มาเล่าให้ญาติพี่น้องฟัง เพื่อหาความหมาย เเต่ญาติ ๆ ก็ไม่รู้ เเต่ก็ภาวนาว่า อย่าให้มีใครในครอบครัวเป็นอะไร จากนั้นตนก็ลืมไปแล้ว ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอมาถึงเมื่อวานที่พ่อเสียชีวิต น้องสะใภ้ก็มาถามว่าจำได้ไหมที่เคยฝัน ตนถึงกับขนลุก ร้องไห้ขึ้นมา เพราะไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ
Advertisement