S Line เส้นสีแดงบนหัว คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นไวรัลบนออนไลน์ในตอนนี้

S Line เส้นสีแดงบนหัว คืออะไร มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงกลายเป็นไวรัลบนออนไลน์ในตอนนี้

ช่วงนี้เห็นคอนเทนต์ S Line เส้นสีแดงผุดออกมาจากหัว กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ หลายคนหยิบเอามาแชร์และทำภาพแซว จิกกัดตัวเอง หรือเพื่อน แล้วจริงๆ S Line คืออะไร?

S Line เส้นสีแดงบนหัว คืออะไร

"S Line" มาจากซีรีส์เกาหลีที่ดัดแปลงจากเว็บตูน เล่าถึงเส้นสีแดงที่ปรากฏขึ้นบนหัวคน เส้นนี้เรียกว่า "S Line" ย่อมาจาก Sex Line เชื่อมโยงคนเหล่านั้นเข้ากับบุคคลที่พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์ทางกายด้วยไม่ว่าจะเมื่อไหร่ หรือที่ไหนก็ตาม ความวุ่นวายเริ่มก่อตัวเมื่อมีคนสามารถประดิษฐ์แว่นตาที่ทำให้ทุกคนที่สวมใส่สามารถมองเห็นเส้น S Line นี้ได้ ทำให้ความลับและด้านมืดของแต่ละคนที่ปกปิดเอาไว้ถูกเปิดเผยต่อชาวโลก นำไปสู่ความโกลาหลวุ่นวายในสังคม เพราะความลับส่วนตัวของทุกคนถูกเปิดเผยในชั่วข้ามคืน

ขณะเดียวกัน "ชินฮยอนฮบ" เด็กสาวมัธยมที่เกิดมาพร้อมความสามารถมองเห็นเส้นสีแดงได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยไม่ต้องใช้แว่นตา เธอได้พบกับ "ฮันจีอุค" นักสืบหนุ่มที่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเส้นสีแดง S Line และค้นพบว่าตนเองมีเส้นเชื่อมโยงกับคนมากมายอย่างน่าตกใจ เขาจึงต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเส้นสีแดงลึกลับนี้ ว่าแท้จริงแล้ว "เส้นสีแดง" มีต้นกำเนิดจากอะไร และใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

ซีรีส์เรื่องนี้จะสำรวจผลกระทบทางสังคมและจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อความลับส่วนตัวของมนุษย์ถูกเปิดเผยอย่างไม่คาดฝัน และผู้คนจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร

S Line เส้นสีแดง กลายเป็นไวรัลได้อย่างไร

S Line เส้นสีแดงปริศนา กลายเป็นไวรัลเนื่องจากพล็อตของซีรีส์นั้นไปโดนเส้นชาวเน็ต และข่าวที่กำลังเป็นกระแส เช่น ข่าวเจ๊หง ชายชาวจีนที่ปลอมตัวเป็นสาวสวยแล้วนัดมีเพศสัมพันธ์กับหนุ่มๆ แล้วถ่ายคลิปไว้เป็นพันคน จนชาวเน็ตทำภาพล้อเลียนว่าเจ๊หงมีเส้นสีแดงขึ้นเต็มหัว ขณะที่บางคนก็เอามาทำเป็นมีมจิกกัดตัวเอง หรือเพื่อนๆ ว่า มีเส้นสีแดงอยู่บนหัวเป็นสิบ เป็นร้อยเส้น เพื่อจะสื่อว่ามีคนผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างโชกโชน กลายเป็นไวรัลขำๆ ที่ถูกแชร์ ถูกโพสต์ว่อนโซเชียล แต่นึกดูอีกที หากเรื่องเส้นสีแดงนี้มีจริง โลกของเราก็คงวุ่นวายคล้ายกับในซีรีส์น่าดู

ตำนานเส้นด้ายแดงแห่งโชคชะตา

เมื่อพูดถึง "เส้นสีแดง" ที่เกี่ยวข้องกับ "ความเชื่อ" และ "ความรัก" สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงคือ ตำนานเส้นด้ายแดงแห่งโชคชะตา (Red Thread of Fate) เป็นความเชื่อโบราณที่มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียตะวันออก โดยหลักๆ แล้วมาจาก ตำนานจีน และแพร่หลายใน ญี่ปุ่น และ เกาหลี ด้วย

ตามตำนานนี้ เชื่อว่ามี เส้นด้ายสีแดงที่มองไม่เห็น ผูกติดอยู่กับบุคคลสองคนที่ไม่ว่าเวลา สถานที่ หรือสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ถูกกำหนดให้เป็น เนื้อคู่กัน ในตำนานจีนเชื่อว่า เทพผู้เฒ่าใต้แสงจันทร์ (ผู้เป็นเทพแห่งการแต่งงานและความรัก เป็นผู้ผูกเส้นด้ายแดงนี้ไว้ที่ ข้อเท้า ของคู่รักที่ถูกลิขิต ส่วนในตำนานญี่ปุ่นเชื่อว่าเส้นด้ายแดงนี้ผูกอยู่ที่ นิ้วก้อย ของผู้ที่ถูกลิขิตให้มาเจอกัน

แม้จะเป็นเส้นด้ายที่มองไม่เห็น แต่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถขาดสะบั้นได้ เส้นด้ายนี้อาจจะพันกันยุ่งเหยิงหรือยืดยาวออกไปได้ ไม่ว่าระยะทางจะไกลแค่ไหน หรือจะมีอุปสรรคใดๆ ขวางกั้น แต่สุดท้ายแล้วมันจะนำพาคนสองคนนั้นมาพบกันในที่สุด

ตำนานนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหรือที่เรียกว่า "โซลเมท" (Soulmate) สื่อถึงความผูกพันอันลึกซึ้งที่อยู่เหนือกาลเวลาและสถานการณ์ เป็นความหวังและความสบายใจว่า ไม่ว่าเราจะผ่านอะไรมาหรือเคยผิดหวังในความรักมากี่ครั้ง ก็จะมีคนที่ถูกลิขิตมาให้เราเสมอ

ความเชื่อเรื่องเส้นด้ายแดงแห่งโชคชะตานี้ได้ถูกนำไปใช้ในงานศิลปะ วรรณกรรม ภาพยนตร์ อนิเมะ และมังงะมากมาย โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งทำให้ตำนานนี้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลก บางคนก็เลือกที่จะสวมใส่ กำไลข้อมือสีแดง เพื่อเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องเตือนใจถึงความเชื่อนี้ และในบางวัฒนธรรม การผูกด้ายแดงในพิธีแต่งงานก็เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อในสายสัมพันธ์แห่งโชคชะตานี้เช่นกัน

สรุปแล้ว "เส้นสีแดง" ในบริบทของความเชื่อและความรัก จึงหมายถึง "เส้นด้ายแดงแห่งโชคชะตา" ที่เป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า นำพาสองดวงใจให้มาบรรจบกันในที่สุด

คอนเทนต์แนะนำ

พระราชาคณะชั้น "สมเด็จ" ปัจจุบันมีกี่รูป อยู่วัดไหนบ้าง?

รู้จักเชื้อ "เอชไพโลไร" ตี๋หุ่นแซ่บโอดได้ของแถม หลังจูบ เจ๊หง

"วัดประยุรวงศาวาส" จากที่ดินสวนกาแฟ สร้างด้วยแรงศรัทธาขุนนาง บุนนาค