โจนออฟอาร์ค หญิงสาวชาวนา วีรสตรีกู้ชาติฝรั่งเศส โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดจนถูกเผาทั้งเป็น ก่อนได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญคนสำคัญ
ญานปอล เดอ วูกูเลอร์ (Jean Paul de Vougoules) หนึ่งในนักประวัติศาสตร์คนสำคัญที่ศึกษาเรื่องราวของโจนออฟอาร์ค เคยกล่าวไว้ว่า "ประวัติศาสตร์ของโจนออฟอาร์คเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และเกินกว่าที่จะเข้าใจด้วยเหตุผลธรรมดา" เรื่องราวของเธอเป็นตำนานที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจและเป็นข้อถกเถียงในวงวิชาการจนถึงปัจจุบัน
โจนออฟอาร์ค (Joan of Arc) หรือชื่อจริงว่า ฌาน ดาร์ก (Jeanne d'Arc) เป็นวีรสตรีของฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องเป็นนักบุญของคริสตจักรคาทอลิก มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 (ค.ศ. 1412-1431) เรื่องราวของเธอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส โดยเฉพาะในช่วง สงครามร้อยปี (Hundred Years' War) ระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ
โจนออฟอาร์คเกิดในครอบครัวชาวนาที่หมู่บ้านดอมเรมี (Domrémy) แคว้นลอร์แรน (Lorraine) ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส บิดาชื่อฌาค ดาร์ก (Jacques d'Arc) และมารดาชื่ออีซาเบล โรมี (Isabelle Romée) เธอไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่เป็นเด็กที่มีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า และมีชีวิตเรียบง่ายเหมือนเด็กชนบททั่วไป
เมื่ออายุประมาณ 13 ปี โจนเริ่มได้ยิน "เสียง" จากพระเจ้าและนักบุญต่างๆ เช่น นักบุญมีคาเอล นักบุญแคทเธอรีน และนักบุญมาร์กาเร็ต เสียงเหล่านั้นบอกให้เธอไปช่วยเหลือฝรั่งเศสที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในสงครามร้อยปี ซึ่งอังกฤษได้ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของฝรั่งเศส และแม้แต่กษัตริย์ที่แท้จริงอย่างเจ้าชายชาร์ลส์ (Dauphin Charles) ก็ยังไม่ได้รับการสวมมงกุฎอย่างเป็นทางการ
ในตอนแรก โจนพยายามโน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อในภารกิจของเธอ แต่ก็ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจอันแรงกล้าของเธอในที่สุดก็ทำให้เธอได้เข้าพบโรแบร์ เดอ โบดริกูร์ (Robert de Baudricourt) ผู้บัญชาการทหารประจำเมืองโวกูเลอร์ส (Vaucouleurs) ในปี ค.ศ. 1429 แม้จะถูกเยาะเย้ยในตอนแรก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและคำทำนายที่แม่นยำ (เช่น การบอกล่วงหน้าถึงความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในการรบ) ทำให้โบดริกูร์ยอมส่งเธอไปเข้าเฝ้าเจ้าชายชาร์ลส์ที่เมืองชินง (Chinon)
โจนเดินทางข้ามดินแดนที่เป็นของอังกฤษมายังชินง เมื่อไปถึง เธอจำเจ้าชายชาร์ลส์ได้ทันที แม้ว่าเจ้าชายจะแกล้งปลอมตัวท่ามกลางข้าราชบริพารเพื่อทดสอบเธอ การที่เธอระบุตัวเจ้าชายได้แม่นยำ รวมถึงความเชื่อมั่นในภารกิจที่ได้รับจากพระเจ้า ทำให้เจ้าชายชาร์ลส์และคณะที่ปรึกษาเริ่มให้ความสนใจในตัวเธอ
แม้จะยังมีความสงสัย แต่ฝรั่งเศสก็อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง การที่หญิงสาวชาวนาคนหนึ่งอ้างว่าได้รับคำสั่งจากพระเจ้ามาช่วยเหลือ จึงเป็นแสงแห่งความหวังเพียงน้อยนิด เจ้าชายชาร์ลส์จึงส่งเธอไปที่เมืองปัวติเยร์ (Poitiers) เพื่อให้กลุ่มนักบวชและนักวิชาการตรวจสอบความบริสุทธิ์และศรัทธาของเธอ ผลการตรวจสอบออกมาว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด
โจนออฟอาร์คได้รับอนุญาตให้นำกองทัพฝรั่งเศสไปช่วยปลดปล่อยเมืองออร์เลออง ซึ่งถูกอังกฤษล้อมมานานหลายเดือน การมาถึงของโจนออฟอาร์คและการนำทัพของเธอได้สร้างขวัญกำลังใจให้กับทหารฝรั่งเศสอย่างมหาศาล เธอไม่ได้เป็นนักรบที่เก่งกาจในการใช้ดาบ แต่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและกลยุทธ์ที่เฉียบคม
ภายใต้การนำของโจนออฟอาร์ค ฝรั่งเศสสามารถตีฝ่าวงล้อมของอังกฤษและปลดปล่อยเมืองออร์เลอองได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1429 ชัยชนะครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามร้อยปี ทำให้เธอได้รับฉายาว่า "สาวพรหมจารีแห่งออร์เลออง" (Maid of Orléans)
หลังจากชัยชนะที่ออร์เลออง โจนออฟอาร์คได้โน้มน้าวให้เจ้าชายชาร์ลส์เดินทางไปยังเมืองแร็งส์ (Reims) ซึ่งเป็นเมืองที่ใช้ในการประกอบพิธีราชาภิเษกกษัตริย์ฝรั่งเศสมายาวนาน แม้เมืองนี้จะยังอยู่ภายใต้การควบคุมของศัตรู แต่โจนเชื่อมั่นว่านี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า
ภายใต้การนำของโจนออฟอาร์ค กองทัพฝรั่งเศสได้รุกคืบและยึดเมืองต่างๆ ที่ขวางทางไปยังแร็งส์ได้สำเร็จ จนในที่สุด เจ้าชายชาร์ลส์ก็ได้รับการสวมมงกุฎเป็น พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ที่มหาวิหารแร็งส์ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1429 เหตุการณ์นี้เป็นชัยชนะทางจิตวิญญาณและทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่สำหรับฝรั่งเศส และเป็นเครื่องยืนยันถึงความชอบธรรมของโจนออฟอาร์คในสายตาของหลายคน
หลังจากภารกิจสำเร็จลุล่วง โจนออฟอาร์คยังคงพยายามที่จะปลดปล่อยปารีสจากการยึดครองของอังกฤษ แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุด เธอถูกจับกุมโดยฝ่ายเบอร์กันดี (Burgundians) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ ในการรบที่กองเปียญ (Compiègne) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1430
ฝ่ายเบอร์กันดีได้ขายตัวเธอให้กับอังกฤษ และอังกฤษต้องการกำจัดโจนออฟอาร์คเพื่อทำลายขวัญกำลังใจของฝรั่งเศส จึงจัดการพิจารณาคดีในข้อหาขัดต่อหลักศาสนา (Heresy) และแม่มด ที่เมืองรูอ็อง (Rouen) โดยมีปิแยร์ โกชง (Pierre Cauchon) บิชอปแห่งโบเวส์ ซึ่งเป็นผู้ฝักใฝ่อังกฤษเป็นประธาน
การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม โจนถูกไต่สวนอย่างเข้มข้นเป็นเวลานานหลายเดือน โดยถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเสียงจากสวรรค์ การแต่งกายแบบผู้ชาย และการกระทำต่างๆ ของเธอ แม้เธอจะพยายามปกป้องตัวเองอย่างชาญฉลาด แต่ในที่สุดก็ถูกตัดสินว่ามีความผิด
ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1431 โจนออฟอาร์คในวัยเพียง 19 ปี ถูกเผาทั้งเป็นที่เสาในจัตุรัสเมืองรูอ็อง ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เธอได้ร้องขอให้มีไม้กางเขนอยู่ตรงหน้าเธอ แสดงให้เห็นถึงศรัทธาอันแรงกล้าจนวาระสุดท้าย
25 ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1456 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ซึ่งกลับมามีอำนาจเต็มที่ ได้สั่งให้มีการพิจารณาคดีของโจนออฟอาร์คใหม่ ผลการพิจารณาคดีใหม่ได้ประกาศให้เธอเป็นผู้บริสุทธิ์และยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมด
หลายศตวรรษต่อมา โจนออฟอาร์คได้รับการยกย่องเป็นวีรสตรีของฝรั่งเศส และในที่สุดก็ได้รับการประกาศเป็นนักบุญของคริสตจักรคาทอลิกโดย สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ในปี ค.ศ. 1920
เรื่องราวของโจนออฟอาร์คเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ศรัทธา และความเสียสละ เธอคือหญิงสาวชาวนาผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากสวรรค์ ที่สามารถเปลี่ยนกระแสของสงครามและกอบกู้ชาติบ้านเกิดได้ ทำให้เธอเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสและของโลก
Advertisement