Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เห็ดหูหนู ซูเปอร์ไฟเบอร์ที่ต้อง "กินเป็น" ไม่ใช่ "กินมาก"

เห็ดหูหนู ซูเปอร์ไฟเบอร์ที่ต้อง "กินเป็น" ไม่ใช่ "กินมาก"

12 พ.ย. 68
15:26 น.
แชร์

เห็ดหูหนู ของพื้นบ้านที่ซ่อนคุณค่า "ซูเปอร์ไฟเบอร์" ช่วยลดไขมันเลือด ดีต่อระบบขับถ่าย แต่กินมากไปจะเป็นอันตรายอะไรไหม? เห็ดหูหนูที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

ในโลกของวัตถุดิบจากธรรมชาติ เห็ดหูหนู อาจดูเป็นเพียงของประกอบจานที่ “อยู่ในนั้นเพื่อเพิ่มสัมผัส” มากกว่าจะเป็นของมีคุณค่าทางโภชนาการ หลายคนรู้จักมันเพียงว่าเป็นเห็ดกรุบ ๆ ที่ใส่ในผัดวุ้นเส้นหรือยำเห็ดรวม แต่ในแวดวงวิทยาศาสตร์และโภชนาการ เห็ดหูหนูกลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีงานวิจัยจำนวนมากชี้ว่าภายในเห็ดสีดำบางเบานี้อุดมด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่น่าสนใจ ทั้งเส้นใยอาหาร สารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจช่วยสนับสนุนสุขภาพในหลายระบบของร่างกาย

อย่างไรก็ตาม เห็ดหูหนูก็ไม่ใช่อาหารที่ “กินมากได้ไม่จำกัด” เพราะมีข้อควรระวังบางประการ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือมีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด รวมถึงข้อควรใส่ใจในการเลือกซื้อและเตรียมให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนเชื้อโรค

บทความนี้จึงจะพาไปรู้จัก “เห็ดหูหนู” ในมิติที่ลึกขึ้น ตั้งแต่คุณค่าทางโภชนาการ สารสำคัญในเชิงวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงข้อควรระวัง และวิธีสังเกตเห็ดหูหนูที่ดี เพื่อให้ทุกคนสามารถกินของอร่อยได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

เห็ดหูหนู รสสัมผัสที่ขาดไม่ได้

ชื่อวิทยาศาสตร์ของเห็ดหูหนูคือ Auricularia auricula-judae หรือในบางชนิดที่ปลูกเพื่อบริโภคเชิงพาณิชย์คือ Auricularia polytricha เห็ดชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะคือรูปร่างคล้ายใบหู ผิวด้านบนออกสีน้ำตาลถึงดำ มักมีขนอ่อนเล็ก ๆ เคลือบอยู่ เป็นเห็ดที่พบได้ทั่วไปในภูมิอากาศแบบร้อนชื้นและถูกเพาะปลูกแพร่หลายในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในครัวไทย เห็ดหูหนูมักถูกนำมาใช้ในเมนูผัด เช่น ผัดวุ้นเส้น ผัดขิง ต้มยำ ยำเห็ด หรือใส่ในซุปต่าง ๆ จุดเด่นคือเนื้อกรุบหนึบไม่เปื่อยง่าย และไม่มีกลิ่นแรงจึงเข้ากับอาหารหลากหลายรูปแบบได้ดี

คุณค่าทางโภชนาการและสารสำคัญในเห็ดหูหนู

เห็ดหูหนูจัดเป็นอาหารพลังงานต่ำ มีไฟเบอร์สูง และให้แร่ธาตุบางชนิดในระดับที่น่าสนใจ

โดยจากข้อมูลทางโภชนาการสากล (เช่น USDA) เห็ดหูหนูแห้ง 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 370 กิโลแคลอรี (ไม่ได้ต่ำเท่าเห็ดสด) โปรตีนประมาณ 10.6 กรัม และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงถึง 65 กรัม ซึ่งในจำนวนนี้คือ เส้นใยอาหาร ในปริมาณที่สูงมาก ประมาณ 55–65 กรัม ถือเป็นแหล่งเส้นใยชั้นดี

งานวิจัยของ Liu et al. (2021) ใน Journal of Agricultural and Food Chemistry ยังชี้ว่า เห็ดหูหนูมีพอลิแซ็กคาไรด์ (Auricularia polysaccharides; APS) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และช่วยปรับสมดุลไขมันในเลือดในสัตว์ทดลอง โดยพบว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดเห็ดหูหนูมีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ลดลง

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ เห็ดหูหนูมีสารกลุ่ม เบต้า-กลูแคน (β-glucan) ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ (คล้ายกับที่พบในเห็ดหลินจือหรือเห็ดไมตาเกะ) และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Chiu et al., 2014; Cai et al., 2015)

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

ช่วยระบบขับถ่ายและลดคอเลสเตอรอล ด้วยปริมาณเส้นใยสูงมาก เห็ดหูหนูช่วยเพิ่มกากอาหาร กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ นอกจากนี้ เส้นใยชนิดละลายน้ำยังสามารถ จับกับกรดน้ำดี ในลำไส้ได้ ทำให้ร่างกายต้องดึงเอาคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในตับมาใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างกรดน้ำดีใหม่ทดแทน ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลดลงในระยะยาว

ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สารพอลิแซ็กคาไรด์ในเห็ดหูหนู (APS) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอลิแซ็กคาไรด์ที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำจะแสดงความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระได้แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า APS มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในระดับเซลล์ โดยการควบคุมและยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น iNOS, COX-2, และ NF-κB ส่งผลดีต่อการบรรเทาภาวะอักเสบเรื้อรัง

ช่วยป้องกันภาวะลิ่มเลือด (ผลทางเภสัชวิทยาที่ต้องระวัง) สารสำคัญที่เรียกว่า พอลิแซ็กคาไรด์ที่มีฤทธิ์เป็นกรด (Acidic Polysaccharides) ในเห็ดหูหนู มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ชัดเจนในการต่อต้านการแข็งตัวของเลือด สารนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelet effect) คล้ายกับยาแอสไพริน และยังสามารถกระตุ้นสาร Antithrombin เพื่อยับยั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้ กลไกนี้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดได้ แต่เป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้ที่กินยาละลายลิ่มเลือดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

กินมากไปอันตรายไหม?

คำตอบคือ “อาจ” ถ้ากินมากเกินไปหรือกินไม่ถูกวิธี

เสี่ยงเลือดออกง่ายขึ้น เห็ดหูหนูมีสารที่ออกฤทธิ์เป็น พอลิแซ็กคาไรด์ที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดได้ การกินเป็นประจำในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ใช้ยา warfarin, aspirin, หรือยากลุ่ม antiplatelet อื่น ๆ

เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรคหากเตรียมไม่ถูกวิธี เห็ดหูหนูแห้งมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อก่อโรค เช่น เชื้อ Salmonella ซึ่งหากนำเห็ดแห้งที่ปนเปื้อนมาแช่น้ำทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกินไป เชื้อแบคทีเรียจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษได้

เห็ดหูหนูสด ถ้ายังไม่ปรุงสุกอาจมีสารพิษ microtoxin ทำให้คลื่นไส้หรืออาเจียนได้ ควรปรุงให้สุกเสมอ

เสี่ยงการสะสมโลหะหนักหากแหล่งเพาะไม่ปลอดภัย งานวิจัยพบว่า เห็ดสามารถดูดซับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม จากวัสดุเพาะ เช่น ขี้เลื่อย หรือรำข้าว ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและไม่ควรเก็บเห็ดจากป่ามากินเอง

อาจเกิดอาการแพ้เฉพาะบุคคล แม้ไม่พบบ่อย แต่บางคนอาจเกิดผื่น ลมพิษ หรือแน่นท้องหลังบริโภคเห็ดกลุ่มนี้ หากเกิดอาการ ควรงดทันทีและปรึกษาแพทย์

วิธีเลือกเห็ดหูหนูที่ดีและปลอดภัย

เห็ดสด : ผิวควรชุ่ม ยืดหยุ่น ไม่เละ ไม่มีกลิ่นบูดหรือกลิ่นหมัก

เห็ดแห้ง : สีสม่ำเสมอ ไม่มีราขาวหรือเหลือง ไม่มีกลิ่นอับ ไม่แตกผุง่าย

การเตรียมเห็ดแห้ง (เพื่อสุขอนามัยที่ถูกต้องตามหลักสากล)

ก่อนปรุง : ต้องล้างเห็ดแห้งให้สะอาดด้วยน้ำไหลผ่านก่อนเสมอ

การแช่เพื่อคืนสภาพ (สำคัญที่สุด) : ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือการใช้ น้ำเดือดหรือน้ำร้อนจัดเพื่อคืนสภาพเห็ดแห้ง ซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อก่อโรคที่อาจปนเปื้อนอยู่ได้

หากใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง ต้องแช่ในระยะเวลาจำกัด ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียที่ปนเปื้อนเจริญเติบโตจนถึงระดับที่เป็นอันตราย ห้ามแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนโดยเด็ดขาด

ปรุงอาหาร : ต้องปรุงให้สุกทั่วถึงก่อนบริโภคทุกครั้ง

ปริมาณที่แนะนำ

สำหรับคนทั่วไป การบริโภคเห็ดหูหนูในอาหารวันละ 20–50 กรัม (ในรูปแบบแห้งก่อนแช่น้ำ) ถือว่าอยู่ในระดับปลอดภัยและได้ประโยชน์ แต่ไม่ควรบริโภคมากทุกมื้อ โดยเฉพาะหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคเลือดหรือใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคประจำ

หัวใจสำคัญของการกินเห็ดหูหนูให้ปลอดภัย

• เลือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้

• ล้างและปรุงให้สุกทุกครั้ง

• ไม่แช่น้ำนานเกินไป (จำกัด 2 ชั่วโมงที่อุณหภูมิห้อง หรือใช้การแช่ด้วยน้ำเดือด)

• หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคประจำ

เห็ดหูหนูอาจไม่ใช่ของหรูหรา แต่คือของพื้นบ้านที่ซ่อนคุณค่าทางโภชนาการไว้มากกว่าที่เห็นในจานอาหาร จุดแข็งคือเส้นใยสูงและสารออกฤทธิ์ที่อาจช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมระบบขับถ่าย และช่วยปรับไขมันในเลือดให้สมดุลขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่อาหารที่ “ยิ่งกินมากยิ่งดี” เพราะอาจเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะกับระบบเลือดหากบริโภคมากเกินไป

Advertisement

แชร์
เห็ดหูหนู ซูเปอร์ไฟเบอร์ที่ต้อง "กินเป็น" ไม่ใช่ "กินมาก"