ตามตำราสรรพคุณเภสัช สมุนไพรที่มีรสของเครื่องยาที่นิยมใช้เป็นหลักในประเทศไทย มี 9 รส และยังมีรสจืดอีก 1 รส รวมเป็น 10 รส แต่คณาจารย์ก็ยังนิยมเรียกว่ารสยา 9 รสอยู่เช่นเดิม นั่นคือ
1. ยารสฝาด - ชอบสมาน
2. ยารสหวาน - ซึมซาบไปตามเนื้อ
3. ยารสเมาเบื่อ - แก้พิษ
4. ยารสขม - แก้ทางดีและโลหิต
5. ยารสเผ็ดร้อน - แก้ลม
6. ยารสมัน - แก้เส้นเอ็น
7. ยารสหอมเย็น - บำรุงหัวใจ
8. ยารสเค็ม - ซึมซาบไปตามผิวหนัง
9. ยารสเปรี้ยว - กัดเสมหะ
เช่น ใบฝรั่ง เปลือกผลมังคุด สีเสียดเทศ เปลือกทับทิม เบญกานี ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสฝาด โบราณว่ามีฤทธิ์ในการสมานแผล ทั้งแผลสดและแผลเปื่อย
• ใบฝรั่งที่มีรสฝาด สามารถนำมาเคี้ยวเพื่อบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ เป็นหนอง จึงช่วยลดกลิ่นปากและลดอาการปวดฟันได้
• เปลือกมังคุดที่มีรสฝาด ช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โบราณมักใช้วิธีนำเปลือกมังคุดไปต้มกับน้ำสะอาด ใช้เป็นน้ำในการเช็ดและล้างแผล ลดอาการคันและรักษาโรคผิวหนัง ส่วนปัจจุบันมีการใช้สารสกัดจากเปลือกมังคุดในผลิตภัณฑ์เสริมความงามมากมาย
• เปลือกทับทิบที่มีรสฝาด นำมาต้มน้ำดื่มเพื่อลดอาการท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด
• ใบชารสฝาดอ่อนๆ เมื่อนำมาแช่น้ำร้อนทิ้งไว้นานๆ ให้สารแทนนินออกมามากก็ช่วยลดอาการท้องร่วง ถ่ายท้องได้ดี
นอกจากนี้แล้ว กล้วยดิบและขมิ้นชันที่มีรสฝาดก็เป็นยาคู่ใจของคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือโรคทางเดินอาหารต่างๆ เพราะช่วยสมานแผลในทางเดินอาหารได้ที่เยี่ยมทีเดียว
เช่น ชะเอมเทศ ชะเอมไทย น้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายแดง หญ้าหวาน อ้อยช้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชที่มีสารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต (น้ำตาลกลูโคส) ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสหวาน โบราณว่ามีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย หากได้น้ำอ้อยคั้นสดใหม่เย็นๆ น้ำผึ้งมะนาว หรือน้ำตาลมะพร้าวสักแก้วก็จะทำให้รู้สึกมีกำลังมากขึ้น
หลายคนอาจเคยพบว่า เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีรสชาติหวาน หรือเหล้าผสมน้ำหวาน แล้วจะรู้สึกเมาง่ายกว่าปกติ เนื่องจากเมื่อดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับน้ำตาลร่างกายจะดูดซึมเอากลูโคสไปใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะต้องดูดซึมเอาแอลกอฮอล์เข้าไปด้วย แอลกอฮอล์จึงทำงานกับร่างกายได้มากกว่าและเร็วกว่าการดื่มปกติ ส่วนในทางแพทย์แผนไทยอธิบายได้ว่า เพราะรสหวานมีฤทธิ์ช่วยพาตัวยาให้ซึมซาบไปตามเนื้อ เมื่อกินเหล้ากับน้ำตาล หรืออาหารที่มีรสหวานก็จะเมาง่ายกว่าปกตินั่นเอง
เช่น สะแกนา สลอด มะเกลือ หัวข้าวเย็น กลอย ขันทองพยาบาท (มะดูก) หนอนตายอยาก ทองพันชั่ง ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสเมาเบื่อ โบราณว่า ทำให้ผ่อนคลายและหลับสบาย อย่างเช่น กัญชา สุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทต่างๆ หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอดีก็จะทำให้รู้สึกสบายตัวและหลับง่ายขึ้น
นอกจากนี้แล้ว รสเมาเบื่อยังสามารถแก้โรคทางอาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เช่น ยาฉุนหรือใบยาสูบช่วยทำให้อาเจียน ขับปัสสาวะ ขับพยาธิในลำไส้ ยาถ่ายพยาธิในตำราไทยหลายขนานจึงมักมีการผสมสุราลงไปด้วย หรือชุมเห็ดเทศที่มีรสเมาเบื่ออ่อนๆ ก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ขับปัสสาวะ และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รสเมาเบื่อเป็นรสยาที่ควรศึกษาให้ดี และควรใช้ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะเป็นรสที่มีผลข้างเคียงมาก อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ แม้จะเป็นยาสมุนไพรก็ตาม
เช่น บอระเพ็ด โกฐกะกลิ้ง ยาดำ ฟ้าทะลายโจร ดีบัว ขี้เหล็ก ระย่อม บวบขม กะดอม ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสขม โบราณว่า มีฤทธิ์ในการบำรุงโลหิตและบำรุงน้ำดี ความขมของบอระเพ็ด จึงสามารถช่วยเสริมระบบการไหลเวียนของเลือด หากกินแต่พอดีก็จะทำให้เลือดสูบฉีดได้ดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รสขมของฟ้าทะลายโจรช่วยกระตุ้นให้ตับสร้างน้ำดี ส่วนผลมะระขี้นกหรือมะแว้งเครือรสขมๆ นั้น มีส่วนกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากขึ้น ทำให้กินอาหารได้มาก อย่างไรก็ตามห้ามใช้กับโรค โรคลมในลำไส้ จุกเสียดแน่น โรคหัวใจ
เช่น ดีปลี พริกไทย ขมิ้นชัน ขิง ข่า ไพล กระวาน กานพลู อบเชย สะค้าน ตะไคร้ กระชาย ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสขม โบราณว่า ช่วยแก้ลม ขับลม ขับเหงื่อ เช่น บรรดาสมุนไพรกลิ่นหอมที่มักใช้ปรุงอาหาร ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง กระเทียม พริก และพริกไทย นอกจากจะอยู่ในหม้อต้มยำให้ซดได้โล่งคอแล้ว ยังนำมาใช้ในการอบสมุนไพร ช่วยขับเหงื่อ ทำให้สบายตัว ช่วยแก้ลมหายใจคล่อง จมูกโล่ง น้ำขิงแก่รสเผ็ดร้อนต้มจนหอม ช่วยให้เรอ ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ยาดมสมุนไพรที่มีกลิ่นของกานพลู กระวาน จันทน์เทศ ก็ช่วยบำรุงธาตุไฟ ช่วยขับลม และทำให้ชื่นใจได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ห้ามใช้กับโรคไอ ไข้พิษ ไข้เพื่อโลหิต
เช่น เมล็ดบัว แห้วหมู กระเทียม ผักกะเฉด เมล็ดถั่วเขียว ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสมัน โบราณว่าน้ำมันต่างๆ เมื่อรวมกับสมุนไพรฤทธิ์เผ็ดร้อน สามารถนำมาทำยาทา ยานวด บรรเทาอาการปวดเมื่อย เส้นเอ็นตึง เอ็นพิการ ส่วนอาหารประเภทถั่วและธัญพืชอย่าง งา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ หรือหัวแห้ว ก็ช่วยบำรุงร่างกายให้ได้พลังงานมาก มีกำลังวังชา และรักษาความอบอุ่นให้ร่างกายได้ดี อย่างไรก็ตาม ห้ามใช้กับโรค หอบ ไอ มีเสมหะ มีไข้
เช่น มะลิ กุหลาบ สารภี พิกุล บุนนาค เกสรบัวหลวง เปลือกชะลูด พิมเสน เตยหอม ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสหอมเย็น โบราณว่ามีฤทธิ์ในการบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เราจึงชื่นใจเมื่อได้กินน้ำใบเตยเย็นๆ หอมๆ หรือในอดีตที่ไม่มีน้ำเย็นจากตู้เย็นหรือน้ำแข็ง คนโบราณก็ใช้วิธีนำน้ำฝนสะอาดมาเจือพิมเสนเล็กน้อย ก็จะให้รสเย็นชื่นใจได้เหมือนกัน น้ำ น้ำหวาน หรืออาหารที่เจือด้วยกลิ่นของดอกไม้ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ ก็ช่วยแก้อ่อนเพลีย แก้กระหายน้ำ อย่างไรก็ตาม ห้ามใช้กับโรค ธาตุพิการ ลมป่วง ดีซ่าน ร้อนใน กระหายน้ำ
เช่น เกลือสินเธาว์ ดินประสิว (Sal Peter) เบี้ยจั่น ตานดำ มะเกลือป่า เกลือสมุทร (เกลือแกง salt) เหงือกปลาหมอ ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสเค็ม โบราณว่า มักใช้ในตำรับยาแก้โรคทางผิวหนัง ชำระเมือกมันในลำไส้ ฟอกโลหิต ดับพิษร้อน แก้รำมะนาด แก้เสมหะเหนียว แก้น้ำเหลืองเสีย อย่างไรก็ตาม ห้ามใช้กับโรคไตพิการ อุจจาระพิการ โรคบิดมูกเลือด
เช่น ฝักส้มป่อย มะขาม สมอไทย มะขามป้อม มะขามแขก ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว โบราณว่า ช่วยทำให้เลือดลมเดินดี แก้ไอ แก้กระหายน้ำ เป็นยาระบายอย่างอ่อน และช่วยแก้เสมหะพิการ อย่างเช่น น้ำมะนาวและน้ำมะขามป้อมช่วยแก้ไอและแก้กระหายน้ำได้ชะงัด รวมถึงผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ อย่างมะดัน มะอึก มะเขือขื่น หรือมะยมก็มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน ใบมะขาม ใบชะมวง ใบส้มป่อย และใบส้มเสี้ยว ก็มีรสเปรี้ยวอยู่ จึงมีฤทธิ์ช่วยฟอกโลหิต ขับเสมหะในลำไส้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ห้ามใช้กับโรคท้องเสีย แก้ไข้ต่างๆ
เช่น เถาตำลึง ผักกาดน้ำ หญ้าถอดปล้อง รากตะไคร้ ตองแตก ฯลฯ สมุนไพรที่มีรสจืด โบราณว่า มีสรรพคุณคล้ายกับสมุนไพรรสเปรี้ยว จึงเหมาะกับใช้ในโรคและอาการที่แสลงกับรสยารสเปรี้ยวเป็นหลัก ใช้สำหรับแก้ในทางเตโช ขับปัสสาวะ ดับพิษร้อน แก้ไข้
ทั้งนี้ แม้จะเป็นสมุนไพร หากแต่เมื่อใช้ในปริมาณที่ออกฤทธิ์เป็นยา ก็ย่อมจะมีทั้งผลดีและผลเสียอยู่เสมอ จึงไม่ควรใช้เพื่อการรักษาโดยปราศจากความรู้เบื้องต้น นอกจากนี้ เกณฑ์ในการแบ่งแยกและระบุฤทธิ์ของตัวยาก็ไม่ได้มีเพียงเกณฑ์เดียว ตำรายาก็ไม่ได้มีเพียงแขนงเดียว ดังนั้น ควรหาข้อมูลของอาการที่แสลงกับรสยานั้นๆ รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อย่างแพทย์ทางเลือกหรือแพทย์แผนปัจจุบันร่วมด้วยก่อนเลือกใช้ตัวอย่างแบบใดแบบหนึ่งในการรักษาโรคทุกครั้ง
Advertisement