หลายคนเข้าใจว่า "ทำประกันแล้ว = เคลมได้ทุกกรณี" แต่ในความจริง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่บริษัทประกันจะจ่ายเงินให้คุณ เพราะมี "ข้อยกเว้น" และ "เงื่อนไขเฉพาะ" อยู่ในสัญญากรมธรรม์อย่างชัดเจน บทความนี้ขำนำเสนอ กรณีที่บริษัทประกันสามารถปฏิเสธความคุ้มครองได้ พร้อมคำอธิบายเชิงลึกเพื่อให้คุณไม่พลาดโดยไม่รู้ตัว
เมาแล้วขับ (แอลกอฮอล์ในเลือดเกินกฎหมาย)
รายละเอียด
- ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 43(2) และ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กำหนดว่า "หากผู้ขับมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าผิดกฎหมาย"
ผลกระทบต่อประกันภัย
- บริษัทประกันมีสิทธิ์ไม่จ่ายค่าความเสียหายต่อรถผู้เอาประกัน
- ในกรณีที่มีผู้เสียหาย (คู่กรณีหรือคนเดินถนน) ประกันอาจต้องจ่ายก่อน แล้วไป “ไล่เบี้ย” คืนจากผู้เอาประกัน
หมายเหตุ
- แม้ประกันชั้น 1 ก็ไม่ช่วย ถ้า “พิสูจน์ได้ว่าเมาแล้วขับ”
- บริษัทประกันมักแนบเงื่อนไขนี้ไว้ในหัวข้อ "ข้อยกเว้นทั่วไป" ของกรมธรรม์
ไม่มีใบขับขี่ / ใบขับขี่หมดอายุ / ถูกพักใช้
รายละเอียด
- ใบขับขี่ถือเป็น "หลักฐานการอนุญาตตามกฎหมาย"
- หากไม่มีหรือหมดอายุ ถือว่าขับรถผิดกฎหมาย
ผลกระทบต่อประกันภัย
- บริษัทมีสิทธิ์ไม่จ่ายค่าซ่อมรถของผู้เอาประกัน
- แต่ ยังคงรับผิดชอบความเสียหายของบุคคลภายนอก ตามพ.ร.บ. และกฎหมายแพ่ง
ตัวอย่างที่เกิดขึ้น
- คนขับลืมต่ออายุใบขับขี่ปีเดียว ขับชนเสาไฟฟ้า ประกันชั้น 1 ปฏิเสธจ่ายค่าซ่อม เพราะ “กรมธรรม์ระบุชัดเจนว่า ผู้ขับต้องมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย”
ใช้รถผิดประเภทจากที่แจ้งไว้ในกรมธรรม์
รายละเอียด
- รถยนต์ในประกันจะถูกระบุว่าใช้ “ส่วนบุคคล”, “เพื่อการพาณิชย์”, หรือ “กิจกรรมพิเศษ”
- หากคุณใช้รถแตกต่างจากประเภทที่แจ้ง บริษัทประกันมีสิทธิ์ปฏิเสธการจ่ายทันที
ตัวอย่าง
- จดทะเบียนเป็นรถบ้าน แต่เอาไปวิ่งส่งของแบบ Grab Express
- หรือรถส่วนตัวเอาไปให้เช่ารายวัน
เหตุผลที่บริษัทปฏิเสธ
- การใช้งานต่างประเภท มี ความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน
- กรมธรรม์ประกันภัยคิดราคาจาก “ลักษณะการใช้” ถ้าใช้จริงผิดไปจากนั้น ถือว่าผิดสัญญา
กระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เช่น ฝ่าไฟแดง / ย้อนศร / หลบหนีด่าน
รายละเอียด
- หากเหตุเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมายจราจรอย่างชัดเจนและรุนแรง
- เช่น ขับรถฝ่าไฟแดงแล้วชนคนตาย หรือย้อนศรในถนนวันเวย์จนเกิดอุบัติเหตุ
ผลต่อกรมธรรม์
- บริษัทจะใช้เหตุผลว่า “เป็นการกระทำผิดโดยเจตนาและร้ายแรง” จึงมีสิทธิ์ยกเว้นความคุ้มครอง
- โดยเฉพาะถ้าผลลัพธ์ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต/ทรัพย์สินของผู้อื่น
แจ้งเคลมล่าช้าเกินกำหนด
รายละเอียด
- เงื่อนไขมาตรฐานในกรมธรรม์จะระบุว่า “ผู้เอาประกันต้องแจ้งอุบัติเหตุภายใน 24 ชม. หรือไม่เกิน 3 วันทำการ”
ปัญหาที่เจอบ่อย
- หลายคนรอซ่อมก่อน ค่อยแจ้ง
- หรือบางกรณี “คิดว่าไม่มีอะไร” ผ่านไป 5-10 วันแล้วมาเคลม
- ประกันจะใช้หลัก “ขาดความเชื่อมโยงของเหตุการณ์” มาเป็นข้อปฏิเสธ
ดัดแปลงรถโดยไม่แจ้งบริษัทประกัน
รายละเอียด
- การดัดแปลงรวมถึง: เปลี่ยนเครื่องยนต์ โหลดเตี้ย เปลี่ยนระบบเชื้อเพลิง (ติดแก๊ส) เปลี่ยนสีรถ
เหตุผลที่บริษัทไม่จ่าย
- เพราะสเปครถไม่ตรงตามที่บริษัทใช้ประเมินเบี้ยประกัน
- และอาจเพิ่มความเสี่ยงจากมาตรฐานความปลอดภัยเดิมของโรงงาน
แนวทางที่ถูกต้อง
- ควรแจ้งบริษัทก่อน/หลังดัดแปลง เพื่อให้ปรับปรุงข้อมูลในระบบกรมธรรม์
เจตนาฉ้อโกง แจ้งเหตุเท็จ ปลอมแปลงหลักฐาน
รายละเอียด
- เช่น: สร้างเหตุการณ์เทียม แจ้งว่ามีคู่กรณีทั้งที่ไม่มี นำรถไปชนเองเพื่อเรียกค่าซ่อม ปลอมใบเสร็จค่าซ่อม
ผลทางกฎหมาย
- บริษัทสามารถ “บอกเลิกกรมธรรม์” ได้ทันที
- และอาจฟ้องดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประกันภัย (มีโทษทั้งจำและปรับ)
อุบัติเหตุจากการแข่งรถ หรือกิจกรรมที่เสี่ยงผิดปกติ
รายละเอียด
- เช่น: สนามแข่งรถ แรลลี่ ดริฟต์ ออฟโรด (4x4) ที่ใช้ความเร็วในพื้นที่ไม่ปลอดภัย
ข้อยกเว้นในกรมธรรม์
- ความเสียหายที่เกิดจากการแข่งขัน หรือการขับขี่เพื่อความเร็วจะไม่อยู่ในความคุ้มครอง
คนขับไม่ใช่ผู้ที่ระบุในกรมธรรม์ (กรณีเจาะจงชื่อผู้ขับ)
รายละเอียด
- บางกรมธรรม์มีเงื่อนไขระบุว่า “ให้คุ้มครองเฉพาะผู้ขับที่มีชื่อระบุในกรมธรรม์เท่านั้น”
ผลกระทบ
- ถ้าให้คนอื่นที่ไม่มีชื่อขับ แล้วเกิดอุบัติเหตุ บริษัทสามารถปฏิเสธค่าซ่อมได้
- แต่จะยังต้องรับผิดชอบคู่กรณีภายนอก (ตามกฎหมายบังคับ)
เกิดเหตุในต่างประเทศที่อยู่นอกเขตความคุ้มครอง
รายละเอียด
- กรมธรรม์ส่วนใหญ่ “คุ้มครองเฉพาะในประเทศไทย”
- ถ้าขับรถไปมาเลเซีย ลาว เขมร แล้วชน – หมดสิทธิ์เคลม
ทางออก
- สามารถ “ซื้อประกันภัยเดินทางข้ามแดน” เพิ่มเติม เช่น Green Card Insurance
อย่างไรเสียเตือนอย่าประมาท อ่านเงื่อนไขกรมธรรม์ให้ละเอียด โดยเฉพาะส่วน “ข้อยกเว้น” ใช้รถให้ตรงตามประเภทและวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ แจ้งเคลมให้ไว และไม่ดัดแปลงรถโดยไม่บอกบริษัท ที่สำคัญที่สุด ขับรถอย่างมีสติ ไม่เมา ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย