การเงิน

ราคาทองคำจะถูกชี้นำอย่างไร หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯอีกครั้ง

28 ม.ค. 67
ราคาทองคำจะถูกชี้นำอย่างไร หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯอีกครั้ง
ไฮไลท์ Highlight
บลูมเบิร์กได้ประเมินว่า หากสหรัฐตั้งกำแพงสินค้านำเข้าจากทุกประเทศราว 10% แม้ประเทศคู่ค้าไม่ได้ทำการตอบโต้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐจะได้ถูกหั่นลงราว 0.4% แต่หากประเทศคู่ค้ามีการตอบโต้ เศรษฐกิจสหรัฐจะสูญเสียการขยายตัวด้วยอัตราที่สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งความสูญเสียดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลก แต่ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากแนวโน้มนโยบายดังกล่าว

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมามีการจัดเลือกตั้งขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน ที่มลรัฐไอโอวาโดยถือเป็นกระบวนการสรรหาตัวแทนของพรรค เพื่อลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ในเดือนพ.ย. ปี 2024 ซึ่งผล ปรากฎว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีดประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับคะแนนเสียงนำอันดับ 1 ที่ 51% เหนือคู่แข่งที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 2 และ 3 อย่าง
รอน ดีแซนทิส และนิกกี เฮลีย์ ตามลำดับ 
(อัพเดท 22 ม.ค. 2024 ; รอน ดีแซนทิส ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน)

ผลที่ออกมาดังกล่าว นับว่าเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ทางการเมืองรายหลาย ขณะที่ทรัมป์เองก็ได้ประกาศว่า มีเพียงเขาคนเดียวที่จะสามารถแข่งกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งในปัจจุบัน นายไบเดน นับว่ามีคะแนนความนิยมที่อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยแม้ว่าภาวะเงินเฟ้อที่อ่อนกำลังลง จะมีส่วนช่วยให้คะแนนนิยมของไบเดนเพิ่มขึ้นมาจากช่วงกลางปี 2022 แต่กระนั้น ยังคงอยู่ที่ราว 40% ยิ่งไปกว่านั้น หากเทียบช่วงเดียวกันของระยะการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี พบว่า คะแนนความนิยมของทรัมป์นั้นสูงกว่าไบเดน

ทั้งนี้ เมื่อทรัมป์กลายเป็นตัวเต็งผู้ชิงชัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ต่อการชนะเลือกตั้งและหวนกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐอีกครั้ง ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐและโลกมีความไม่แน่นอนในระดับสูง หลายฝ่ายจึงเกิดการตั้งคำถามว่า การกลับมาของทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและโลกอย่างไร

ทรัมป์

 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและโลก หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง 

แม้นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง การดำเนินนโยบายมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับสมัยแรกของการดำรงตำแหน่ง แต่กระนั้นนับเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก เพราะนโยบายภายใต้การทำงานของทรัมป์อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามกลยุทธ์ แต่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากความต้องการของเขา

อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายยังคงมุ่งประเมินผลกระทบจากนโยบายที่เคยเกิดขึ้นในสมัยแรกในการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสงครามการค้า เนื่องด้วยเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ และมีความเชื่อมโยงไปยังอีกหนึ่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง จีน ซึ่งถือเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และอาจเป็นภัยคุกคามการกลับมายิ่งใหญ่อีกของสหรัฐในสายตาทรัมป์

บลูมเบิร์กได้ประเมินว่า หากสหรัฐตั้งกำแพงสินค้านำเข้าจากทุกประเทศราว 10% แม้ประเทศคู่ค้าไม่ได้ทำการตอบโต้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐจะได้ถูกหั่นลงราว 0.4% แต่หากประเทศคู่ค้ามีการตอบโต้ เศรษฐกิจสหรัฐจะสูญเสียการขยายตัวด้วยอัตราที่สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งความสูญเสียดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลก แต่ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากแนวโน้มนโยบายดังกล่าว

จุดมุ่งหมายของนโยบายการตั้งกำแพงภาษีดังกล่าว คือ การพยายามจูงใจให้คนในประเทศบริโภคและอุปโภคสินค้าในสหรัฐมากยิ่งขึ้น พร้อมหมายรวมไปถึงการกระตุ้นให้นักลงทุนหรือผู้ประกอบการในสหรัฐเพิ่มการลงทุนหรือหันกลับมาลงทุนในสหรัฐเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้น หลายฝ่ายมองว่า นโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มทำให้ประสิทธิภาพของการบริโภคและการผลิตสินค้าของสหรัฐด้อยลง จากการที่ผู้บริโภคและผู้ผลิตต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคและศักยภาพการแข่งขันของผู้ผลิตสินค้าในสหรัฐลดลง

อีกประเด็นที่สืบเนื่องกัน การตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์คาดว่า จะอยู่ในสมมติที่สหรัฐจะได้รับประโยชน์จากการมีรายรับทางภาษีที่เพิ่มมากขึ้น อันนำไปสู่การประเมินถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคลลในสหรัฐ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า หากทรัมป์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง มีแนวโน้มที่เขาจะหาช่องทางในการปรับลดภาษีเพิ่มมากขึ้น และจะไม่มีเป้าหมายต่อการเก็บภาษีของผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น หากไบเดนสามารถดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ได้

จากประเด็นดังกล่าว นักวิเคราะห์บางรายให้ความกังวลว่า ช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐจะยิ่งขยายตัวมากขึ้น โดยรายจ่ายยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการตัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการบางส่วนออกแล้วก็ตาม ทำให้ประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐอาจยิ่งทวีความน่ากังวลขึ้น หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงสมัยแรกของการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ พบว่า ผู้ที่ได้รับประโยชน์หรือผู้ชนะจากนโยบายการปรับลดภาษีของทรัมป์ คือ ผู้มีความมั่งคั่ง ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และนักลงทุนทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ ขณะที่ผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำของสหรัฐไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวเท่าใดนัก

ด้วยเหตุนี้ ประเด็นนโยบายการปรับลดภาษีของทรัมป์ มีแนวโน้มทำให้ตลาดการเงินโลกกลับมาคึกคักอีกครั้ง ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศตลาดเกิดใหม่อาจได้รับประโยชน์ จากทิศทางการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิ 

ทรัมป์

การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายใต้การทำงานของทรัมป์

หากพิจารณาเพียงนโยบายที่ยกมาข้างต้น จะพบว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนต่อการปรับตัวขึ้น จากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ตามทิศทางของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐที่อาจอ่อนแอลง ที่เป็นผลกระทบมาจากการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า ประกอบกับแนวโน้มการไหลออกของเงินทุน ทำให้ค่าเงินของหลายประเทศอาจแข็งค่าขึ้นมา กดดันให้เกิดการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์เพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน ด้วยแนวโน้มการขาดดุลทางการคลังสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้น ผลให้เกิดการออกพันธบัตรมากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งราคาสินค้าที่อาจค้างตัวในระดับสูง จากการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้า ที่เป็นผลให้แนวโน้มการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ อาจเป็นส่วนที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังคงค้างตัวอยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการปรับตัวลงมาดังที่ตลาดคาดหวังไว้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่คอยพยุงค่าเงินดอลลาร์ไว้ได้ ทำให้ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุนในระดับจำกัด

อีกประการหนึ่ง สิ่งที่ควรติดตามควบคู่กัน คือ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำอื่นๆ อาทิ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น รวมไปถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาการทำงานของทรัมป์ โดยแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง แต่หากยังคงแข็งแกร่งกว่าประเทศชั้นนำอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ในขณะที่เกิดความตึงเครียดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่าง จีนและไต้หวัน สถานการณ์เช่นนี้ มีแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์จะได้รับแรงซื้อในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ทำให้ราคาทองคำอาจไม่ได้รับแรงหนุนต่อการปรับตัวขึ้นเท่าที่ควร

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาที่เพียงในช่วงที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ มีแนวโน้มที่นักลงทุนอาจเกิดความวิตกกังวลต่อแนวโน้มการตั้งกำแพงภาษีและนโยบายที่อาจสร้างความขัดแย้งกับพันธมิตรสหรัฐของทรัมป์ ซึ่งราคาทองคำอาจดีดตัวขึ้นตอบรับกับผลการเลือกตั้ง แต่กระนั้น ในระยะกลางและระยะยาว นักลงทุนยังคงมีความจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มผลกระทบของนโยบายภายใต้การทำงานของทรัมป์อย่างใกล้ชิดต่อไป  

 

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด

advertisement

SPOTLIGHT