การเงิน

กำไรบจ.ไทย 9 เดือนแรกลด 10.6% เหตุน้ำมันลดทำรายได้บ. พลังงานตก ศก. โลกชะลอตัว

26 พ.ย. 66
กำไรบจ.ไทย 9 เดือนแรกลด 10.6% เหตุน้ำมันลดทำรายได้บ. พลังงานตก ศก. โลกชะลอตัว
ตลาดหลักทรัพย์เผย 9 เดือนแรกบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai รายได้และกำไรสุทธิลดลง โดยถูกกดดันจากกลุ่มธุรกิจหมวดพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่ผลประกอบการลดลงจากราคาน้ำมันที่ต่ำ และเศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังคงอยู่ในภาวะซบเซา แต่ยังมีปัจจัยบวกจากกลุ่มธุรกิจธนาคาร การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี
 
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 มี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 614 บริษัท คิดเป็น 73.27% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมดจำนวน 815 บริษัท โดยพบว่าส่วนมากมีผลประกอบการอ่อนตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

 

กำไรบจ. ลดทั้งใน SET และ mai เหตุค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่ม

จากข้อมูลของตลท. ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2023 ของบจ. ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี มียอดขาย 12,729,782 ล้านบาท ลดลง 3.4% เพราะแม้ต้นทุนการผลิตจะปรับลดลง 2.9% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารกลับเพิ่มสูงขึ้น 5.8% ซึ่งส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) และกำไรสุทธิลดลง

ในช่วง 9 เดือนแรก บจ. ไทย มีกำไรจากผลการดำเนินงานหลักที่ 1,249,191 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 740,814 ล้านบาท ลดลง 16.0% และ 10.6% ตามลำดับจากปีก่อนหน้า 

สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2023 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.55 เท่า ลดลงจาก 1.58 เท่าของงวด 9 เดือนปี 2565

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวด 9 เดือนปี 2023 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 145,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากต้นทุนการผลิตที่ลดลง 107,737 ล้านบาท หรือ 0.3% 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น กำไรกลับลดลง เพราะค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบจ. ใน mai เพิ่มขึ้นถึง 28,319 ล้านบาท หรือ 13.4% ส่งผลให้บจ. mai มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 9,282 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,479 ล้านบาท ลดลง 12.9% และ 35.0% ตามลำดับ

 

ธุรกิจอุตฯ-พลังงานซบเซา ธนาคาร-ท่องเที่ยวฟื้นดี

สำหรับสาเหตุ นายแมนพงศ์กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการที่อ่อนตัวลงทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันและการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งส่งผลลบต่อธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจที่มีการส่งออก 

ทั้งนี้ หากไม่รวมธุรกิจดังกล่าว ภาพรวมมีผลประกอบการทรงตัว โดยมีปัจจัยบวกจากหมวดธุรกิจธนาคารซึ่งเติบโตตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ธุรกิจประกันภัยฟื้นตัวจากสถาณการณ์โควิด ธุรกิจท่องเที่ยวจากการเปิดประเทศ และธุรกิจเทคโนโลยีที่มีความต้องการสูงในยุคดิจิทัล

โดยจากข้อมูลของตลท. กลุ่มธุรกิจที่มีกำไรสุทธิลดลงมากที่สุดในช่วง 9 เดือนแรก คือ 1. กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักรที่ลดลง 251% 2. กลุ่มเหล็กที่ลดลง 149% และกลุ่มปิโครเคมีและเคมีภัณฑ์ที่ลดลง 96%

ขณะที่ธุรกิจที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ 1. กลุ่มธุรกิจของใช้ครัวเรือนและสำนักงานที่เพิ่มขึ้น 4111% 2. กลุ่มบริการเฉพาะกิจ ซึ่งเพิ่มขึ้น 65% และ กลุ่มธุรกิจการเงินที่เพิ่มขึ้น 30% สวนภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวปีนี้กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 214% ส่วนกำไรสุทธิยังไม่มีข้อมูล



advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT