อินไซต์เศรษฐกิจ

เมื่อสงครามดันราคาทองโลกขึ้น! ระยะสั้นราคาทองจะพักฐานหรือไม่?

18 เม.ย. 67
เมื่อสงครามดันราคาทองโลกขึ้น! ระยะสั้นราคาทองจะพักฐานหรือไม่?

เมื่อเกิดสถานการณ์อิหร่านโจมตีอิสราเอลเกิดขึ้น ทั่วโลกมีความหวั่นวิตกว่า นี่จะคงไม่ใช่เพียงแค่คำขู่ และมีโอกาสยกระดับเป็นสงครามเต็มรูปแบบหรือไม่? ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์​ ทั้งราคาน้ำมัน ราคาทอง ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลายฝ่ายคงมีความกังวลใจ สงสัย ราคาทองจะขึ้นไปถึงระดับใด มีโอกาสพักฐานได้หรือไม่ และจะขึ้นไปถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ ได้จริงหรือไม่

วันนี้ SPOTLIGHT จะพามาหาคำตอบ...จาก YLG กัน

โดย นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ได้เปิดเผยกับ SPOTLIGHT ถึงปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น และมองราคาทองในตลาดโลกจะปรับฐานหรือไม่ และประเมินว่าราคาทองจะขึ้นไปถึงระดับใด

เหตุผลที่ราคาทองสูงขึ้น มี 3 ปัจจัย ดังนี้

  1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เฟดมีท่าทีคุมเข้มนโยบายการเงินด้วยการตรึงดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าคาดการณ์ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่ได้กล่าวว่า เงินเฟ้อในช่วงต้นปีไม่ได้มีความคืบหน้าสู่เป้าหมายที่ 2% จึงควรจะอยู่ในระดับที่คุมเข้มต่อไปเพื่อรับมือกับความเสี่ยง  ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อาจกดดันราคาทองคำได้ในระยะสั้น  อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ท้ายที่สุดเฟดก็จะเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลง ซึ่งยังเป็นปัจจัยหนุนทองคำในภาพหลัก
  2. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล-อิหร่านไม่ได้รุนแรงมากไปกว่านี้ ถึงขั้นเกิด Panic Buy ในสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง อาจส่งผลให้ทองคำสลับมาถูกขายทำกำไรในลักษณะเช่นเดียวกับความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน  อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน แม้จะมีความเป็นไปได้ไม่สูงมากนัก แต่หากสถานการณ์รุนแรงมากขึ้นถึงขั้นที่สหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับความขัดแย้งครั้งใหญ่สองครั้งล่าสุด ในสงครามอิรัก–คูเวต ที่สหรัฐเข้าร่วมด้วย หรือวินาศกรรม 9/11  ความรุนแรงในระดับดังกล่าวอาจหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อ
  3. ความต้องการทองคำจากธนาคารกลาง ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มการเข้าซื้อทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ท่ามกลางกระแส De-Dollarization หรือ การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลต่อเนื่องมา จากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ อาทิเช่น กรณีที่สหรัฐอายัดเงินดอลลาร์ซึ่งเป็นทุนสำรองของรัสเซีย  การเข้าซื้อดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำในเทรนด์หลัก เนื่องจากกลยุทธ์ของธนาคารกลางจะเป็นลักษณะการวางแผนระยะยาวที่จะค่อยๆ ลดสัดส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วเปลี่ยนมาสำรองทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่อ่อนไหวต่อความผันผวนของราคามากนัก 

YLG มองระยะสั้นทองมีโอกาสพักฐาน 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

จากปัจจัยทั้งหมดนี้ YLG จึงมองว่า ในระยะสั้นราคาทองคำมีโอกาสพักฐานลงมาก่อนที่ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามที่ซิตี้กรุ๊ปได้คาดการณ์ว่าช่วงดังกล่าวจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2024  ด้วยความเสี่ยงจากเฟดที่มีท่าทีตรึงดอกเบี้ยในระดับสูง และอาจลดดอกเบี้ยได้เพียง 1-2 ครั้งในปีนี้  ประกอบกับ Buying Climax ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หากความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน ไม่ได้รุนแรงมากถึงขั้นที่สหรัฐเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง

YLG คาดการณ์ไว้ที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ส่วนในภาพหลัก ซิตี้กรุ๊ป คาดการณ์สอดคล้องกับ YLG ว่าจะสามารถยืนเหนือ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ ด้วยความต้องการทองคำในระยะยาวที่มั่นคงของธนาคารกลางทั่วโลกกว่า 1,000 ตันต่อปีเป็นแรงหนุนสำคัญ  ส่วนเป้าหมาย YLG คาดการณ์ไว้ที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนการลดดอกเบี้ยของเฟด หากยังสามารถลดได้ในปีนี้ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ทองคำมีโอกาสขึ้นไปอยู่ที่ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์  ขณะที่เป้าหมายที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในอีก 6-18 เดือนข้างหน้าของซิตี้กรุ๊ป จะเป็นกรณีที่เฟดลดดอกเบี้ยมากกว่า 3-4 ครั้งต่อปี และสหรัฐเข้าร่วมสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ยังมองว่าเป็น Scenario ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยที่สุด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT