ข่าวเศรษฐกิจ

นายกฯ ญี่ปุ่นเรตติ้งตก ปชช.ไม่ชอบนโยบายทุ่มเงินกระตุ้นศก. ห่วงเก็บภาษีเพิ่มภายหลัง

6 พ.ย. 66
นายกฯ ญี่ปุ่นเรตติ้งตก ปชช.ไม่ชอบนโยบายทุ่มเงินกระตุ้นศก. ห่วงเก็บภาษีเพิ่มภายหลัง

เรตติ้งความนิยมของ ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายนตกสู่ 28.3% ซึ่งเป็นเรตติ้งระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคมปี 2021 สะท้อนความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาในวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มถึง 17 ล้านล้านเยน หรือราว 4 ล้านล้านบาท

Kyodo News ได้จัดทำโพลดังกล่าวในวันที่ 3-5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อวัดความนิยมของนายกรัฐมนตรีประจำเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นโพลที่จัดทำมาอย่างยาวนาน น่าเชื่อถือ และสามารถสะท้อนปฏิกิริยาของประชาชนที่มีต่อการทำงานของรัฐบาลญี่ปุ่นได้ในระดับหนึ่ง

ในช่วง 9 เดือนของปี 2023 ที่ผ่านมา รัฐบาลของนายคิชิดะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนเสมอว่าล้มเหลวในการปกป้องและช่วยเหลือประชาชนจากภาวะเงินเฟ้อซึ่งทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในเดือนตุลาคม ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ของโตเกียวซึ่งเป็น benchmark ค่าเงินเฟ้อของทั้งประเทศ สูงขึ้นถึง 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มากกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งอยู่ที่ 2.5%

โดยถึงแม้เงินเฟ้อจะเป็นภาวะที่หลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ ท่าทีของแบงก์ชาติญี่ปุ่นหรือ BOJ กลับค่อนข้างแตกต่างจากแบงก์ชาติในประเทศอื่นๆ เพราะ BOJ รักษาระดับดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.1% ตั้งแต่ปี 2016 และยังไม่เพิ่มขึ้น ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและค่าเงินอ่อนลงอย่างไม่จำเป็น แต่แบงก์ชาติญี่ปุ่นมองว่าเงินเฟ้อปัจจุบันไม่ได้มาจากดีมานด์หรือการบริโภคที่สูง แต่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น สงคราม ทำให้การเพิ่มดอกเบี้ยอาจซ้ำเติมปัญหาความเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก

 

นักวิเคราะห์-ปชช.ไม่ปลื้มนโยบายประชานิยม ห่วงสุขภาพคลัง

แทนที่การเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย ญี่ปุ่นเน้นบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยในวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมาได้ออกมาตรการใหม่มาลดการเก็บภาษีเงินได้และภาษีที่อยู่อาศัย ให้เงินสนับสนุนกับครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และออกเงินสนับสนุนกดราคาไฟฟ้าและน้ำมัน

มาตรการชุดใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณถึง 17 ล้านล้านเยน หรือราว 4 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลวางแผนจะนำมาจากเงินงบประมาณส่วนเสริมของงบประมาณสำหรับปีปัจจุบันมูลค่า 13.1 ล้านล้านเยน และเมื่อนำมารวมกับเงินที่รัฐบาลท้องถิ่นใช้จ่ายไปกับมาตรการและมูลค่าหนี้รัฐบาลแล้ว มาตรการชุดนี้จะมีมูลค่ารวมทั้งหมด 21.8 ล้านล้านเยน 

รัฐบาลคาดการณ์ว่ามาตรการชุดนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้ประมาณ 1.2% ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และช่วยลดอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นได้ 1% ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนในปี 2024

อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้กลับได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนักจากทั้งนักวิเคราะห์และประชาชน เพราะนักวิเคราะห์ไม่เชื่อว่าเงินจำนวนมากที่รัฐบาลจะใช้ในการลดภาษีและแจกจ่ายให้กับประชาชนนี้จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้จริง และมองว่าหากดูจากการบริโภคของประชาชนที่กลับมาเป็นบวกในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน มาตรการกระตุ้นนี้จะไม่จำเป็นตั้งแต่แรกแล้ว

นอกจากนี้ การออกมาตรการนี้อาจจะยังทำให้รัฐบาลต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นอีก จากที่ปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่าสองเท่าของขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่ประเทศพัฒนาแล้วอยู่แล้ว

ทั้งนี้ นอกจากนักวิเคราะห์แล้ว คนญี่ปุ่นส่วนมากยังไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว โดยจากผลการสำรวจของ Kyodo News ผู้ตอบ 3 ใน 5 ไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้ เพราะเห็นว่าในอนาคตรัฐบาลญี่ปุ่นจะมีการเก็บภาษีเพิ่มเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายกับมาตรการก้อนนี้

จากความเห็นของนักวิเคราะห์ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นน่าจะถดถอยเพิ่มในไตรมาสที่ 3 เพราะเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตที่ต่ำของเศรษฐกิจจีนซึ่งกดดันการบริโภคและการส่งออก 

จากการวิเคราะห์ของ Bloomberg ระดับเรตติ้งความนิยมที่ลดลงของนายคิชิดะนี้อาจทำให้เกิดการแบ่งฝักฝ่ายในพรรค Liberal Democratic Party ของนายคิชิดะ และอาจทำให้มีการผลักดันนักการเมืองคนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำแทน เพราะแม้ความนิยมในตัวนายคิชิดะจะลดลง ความนิยมในตัวพรรค LDP ยังสูงอยู่ที่ 34.1% ขณะที่พรรคอื่นได้คะแนนไปไม่เกิน 10% 


ที่มา: Bloomberg, Reuters


advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT