ข่าวเศรษฐกิจ

เปิดสถิติโครงการรัฐฯ 'กำนันนก' 12 ปี ประมูลชนะ 1,544 โครงการ มูลค่ากว่า 6.9 พันล้านบาท

14 ก.ย. 66
เปิดสถิติโครงการรัฐฯ 'กำนันนก' 12 ปี ประมูลชนะ 1,544 โครงการ มูลค่ากว่า 6.9 พันล้านบาท

กรณี ‘กำนันนก’ ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นทำให้สังคมกลับมาสนใจปัญหาอิทธิพลมืดในท้องถิ่น และปัญหาการคอร์รัปชั่นที่เกี่ยวโยงกับทั้งผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และตำรวจทีทำงานร่วมกันเพื่อหาผลประโยชน์จากกิจการและโครงการต่างๆ ของรัฐ จนยากที่จะกำจัดให้หมดไปได้

ล่าสุดในวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ออกมาเปิดข้อมูลสถิติการชนะประมูลโครงการรัฐ พบว่าในช่วงปีงบประมาณ 2554-2566 ธุรกิจของกำนันนกคือ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด และบริษัท ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด ได้งานของรัฐไปทั้งหมด 1,544 โครงการ (แบ่งเป็นของ ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง 923 โครงการ และ ป.รวีกนก ก่อสร้าง 621 โครงการ) ในวงเงินงบประมาณ 7,579,402,078.72 บาท และวงเงินทำสัญญารวม 6,964,815,249.47 บาท

ที่สำคัญคือ ในจำนวน 1,544 โครงการนี้ เป็นโครงการใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่า 30 ล้านบาท ถึงจำนวน 20 โครงการ และมี 2 โครงการที่เข้าข่ายว่ามีการ “ฮั้วประมูล” หรือการตกลงราคาหรือกฎเกณฑ์การยื่นซองประมูลล่วงหน้าเพื่อล็อกผู้ชนะการประมูล ได้แก่

  1. โครงการประกวดราคาจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 375 สาย อ.ดอนตูม - ต.ลำลูกบัว โดยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (เลขที่โครงการ : 59086265559) งบประมาณ 300 ล้านบาท
  2. โครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 375 สาย ต.ลำลูกบัว - บรรจบทางหลวงหมายเลข 346 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ งบประมาณ 350 ล้านบาท 

ทำให้ในช่วงวันจันทร์ถึงวันพุธหน้า (18-20 ก.ย. 66) DSI จะเชิญผู้ที่เคยอยู่ในการประมูลดังกล่าวมาสืบหาว่ามีการตกลงราคากันก่อนเพื่อให้บริษัทของกำนันนกชนะประมูลโครงการรัฐไปจริงหรือไม่ ทำไมกำนันนกจึงรู้ราคาประมูลของเจ้าอื่นก่อนจึงทำให้ยื่นราคาในระดับที่ต่ำกว่าได้ หรือว่ามีการข่มขู่ให้ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าร่วมยื่นซองประมูลได้หรือไม่

เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมไทยได้เห็นกันชัดๆ อีกครั้งถึงโครงข่ายอิทธิพลที่กำลังกัดกินสังคมไทย ในบทความนี้ ทีม SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมาดูวิธีสังเกตการทุจริตในขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐกัน เพื่อที่ในอนาคต เราจะได้เป็นหูเป็นตา ช่วยสอดส่องความผิดปกติ และแจ้งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานได้ในทันที

889712

 

ทำไมการจัดซื้อจัดจ้างจึงเสี่ยงต่อการทุจริตมาก?

การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงเป็นอันดับต้นๆ ที่จะเกิดการทุจริตเพราะ การจัดซื้อจัดจ้างในประเทศต่างๆ รวมถึงไทย เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินงบประมาณจำนวนมากที่ภาครัฐเก็บมาจากประชาชน และเป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและเกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่าย ทำให้ผู้มีอิทธิพลและนายทุนเงินหนาต่างๆ มีโอกาสแทรกแซง เข้าหาคนในภาครัฐได้ในหลายระดับ และยื่นข้อเสนอ เงิน หรือผลประโยชน์อื่นๆ เพื่อให้คนเหล่านี้ยอมทำผิดเพื่อผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของ OECD การติดสินบนถึง 57% เกิดขึ้นในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และจากข้อมูลของ ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ 2566 การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างเป็นหัวข้อที่ทางป.ป.ช. ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 โดยคิดแล้วเป็นมูลค่าโครงการทั้งหมด 2,092 ล้านบาท

ปัญหาทุจริตในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างจึงถือได้ว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงจนถ้าหากปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิดต่อไปก็จะส่งผลเสียอย่างมากต่อทั้งเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ที่อาจได้รับอันตรายจากสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน

ผู้มีอิทธิพลจะหาผลประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้างอย่างไรได้บ้าง?

จากข้อมูลในการวิจัยของ TDRI การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างสามารถแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบหลักๆ ด้วยกันคือ 1. การให้สินบน 2. การสมยอมหรือ “ฮั้ว” กันในการเสนอราคา 3. การใช้บริษัทอื่นบังหน้า และ 4. รูปแบบอื่นๆ และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอน คือ 

  1. การพิจารณาโครงการที่จะได้รับการอนุมัติให้จัดซื้อจัดจ้าง 
  2. การเผยแพร่ข่าวการจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นหรือ pre-qualification การจัดเตรียมเอกสารเสนอราคา และการรับข้อเสนอราคา 
  3. การพิจารณาข้อเสนอ การตรวจสอบคุณสมบัติภายหลังการพิจารณาข้อเสนอหรือ post-qualification และการพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการเสนอราคา 
  4. การบริหารจัดการสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และการควบคุมบริหารโครงการ หรือ project supervision

โดยส่วนมากการทุจริตจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในทุกขั้นตอน จากผู้มีอิทธิพลไม่กี่ราย ทำให้มีข้อสังเกตสำคัญคือ บริษัทที่ชนะการประมูลในพื้นที่นั้นมักจะเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของหรือดูแลโดยคนคนเดียว หรืออาจจะเป็นผู้เล่นหน้าเก่าหน้าเดิมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน วนกันขึ้นมาเป็นผู้ชนะประมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติหากเจ้าหน้าที่รัฐมีการออกกฎเกณฑ์ หรือมีการพิจารณาผู้ได้รับคัดเลือกอย่างเป็นธรรมและโปร่งใสจริง

 

  • การพิจารณาโครงการที่จะได้รับการอนุมัติ

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนระดับนโยบายที่จะกำหนดว่าโครงการใดจะได้รับงบประมาณบ้าง ได้มาจากแหล่งใด และได้เท่าไหร่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดขั้นตอนอื่นๆ ที่ตามมา ซึ่งโดยหลักแล้วมีผู้เกี่ยวข้องสำคัญ 2 ฝ่ายด้วยกัน คือ 

  • ผู้เสนองบประมาณ หรือ รัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ
  • ผู้พิจารณาอนุมัติงบประมาณของโครงการ หรือ นักการเมือง 

ในระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่ นักการเมืองส่วนมากมักต้องการให้มีการก่อสร้างถนนหรือโครงการต่างๆ ในพื้นที่ของตัวเองเพื่อหาเสียงจากประชาชน ทำให้นักการเมืองอาจเข้าไปตกลงติดต่อกับรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องให้อนุมัติโครงการในพื้นที่ของตัวเอง อาจจะด้วยทั้งการติดสินบน หรือการเสนอผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งทำให้มีข้อเสียสำคัญคือ โครงการนั้นๆ อาจไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง และเปิดโอกาสให้มีผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเข้าไปหาผลประโยชน์กันได้อีกเป็นทอดๆ ในขั้นตอนอื่นๆ ของการจัดซื้อจัดจ้าง

 

  • การเผยแพร่ข่าวการจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นหรือ pre-qualification การจัดเตรียมเอกสารเสนอราคา และการรับข้อเสนอราคา 

เมื่อโครงการหนึ่งได้รับอนุมัติแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการประกาศข่าวเพื่อให้ผู้สนใจเข้ามายื่นซองประมูล ซึ่งก่อนจะยื่นได้ก็ต้องศึกษาคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนว่าบริษัทมีคุณสมบัติและประสบการณ์ในการทำงานมากพอหรือไม่ และจัดเตรียมเอกสารให้ครบตามกำหนดเพื่อยื่นซองประมูลแข่งขันกับผู้รับเหมารายอื่น

อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ยื่นประมูลอาจหาทางทุจริตเพื่อล็อกผู้ชนะการประมูลได้หลายทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

  • การจงใจไม่เผยแพร่ข่าวโครงการและการเปิดรับซองประมูลให้บริษัทรับเหมาทั่วไปรับรู้ ทำให้มีผู้รับเหมาเพียงไม่กี่รายทราบข่าว หรือการปิดกั้นไม่ให้มีผู้รู้ข่าวง่ายๆ ด้วยการตั้งรหัส 
  • การจงใจเผยแพร่ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้เสนอราคาให้ไม่ครบถ้วน หรือจงใจเปลี่ยนสาระสำคัญในนาทีสุดท้าย เช่น เปลี่ยนสถานที่การยื่นซองโดยไม่มีการประกาศให้ผู้สนใจรับรู้กันอย่างทั่วถึง
  • การจงใจกำหนดให้คุณสมบัติเบื้องต้นเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยการกำหนดระดับประสบการณ์ไว้สูงเกินควร การล็อคสเปคสิ่งของที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ยื่นได้ 
  • การ “ฮั้ว” หรือตกลงราคากันในหมู่ผู้ยื่นซองประมูล ให้ทุกบริษัทยื่นราคาสูงเกินควรไป เพื่อให้บริษัทหนึ่งสามารถยื่นราคาต่ำกว่าและชนะการประมูลไป โดยบริษัทที่ชนะจะมีการให้เงินหรือให้ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับบริษัทอื่นๆ ที่ยอมหลีกทางให้
  • การจ้างให้เจ้าหน้าที่รัฐ นำข้อมูลของผู้ยื่นซองประมูลรายอื่นมาให้ดูเพื่อที่จะกำหนดราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่ง หรือเสนอวัสดุ บริการหลังการขายอื่นๆ เพิ่มเข้าไป เพื่อให้ข้อเสนอของบริษัทตนเหนือกว่าบริษัทอื่นๆ 
  • การขัดขวางข่มขู่ไม่ให้ผู้ยื่นซองประมูลอื่นๆ ไปยื่นซองได้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างอันธพาลไปข่มขู่ หรือไปขวางทางให้ไปยื่นซองไม่ทัน

 

  • การพิจารณาข้อเสนอ การตรวจสอบคุณสมบัติภายหลังการพิจารณาข้อเสนอหรือ post-qualification และการพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการเสนอราคา

ขั้นตอนนี้ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมากในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพราะจะเป็นการพิจารณาว่าบริษัทใดจะได้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ถึงแม้โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานรัฐจะใช้เกณฑ์ราคาเป็นตัวชี้วัด แต่ในบางโครงการอาจต้องมีการพิจารณาเกณฑ์อื่นๆ ด้วย เช่น ระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า ต้นทุนในการบำรุงรักษา และบริการหลังการขาย 

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เสี่ยงถูกแทรกแซงได้สูงมาก เพราะต้องใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการในการตัดสินใจ เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ยื่นซองประมูลสามารถร่วมมือกันเพื่อชี้นำผลลัพธ์ได้ในหลายทางด้วยกัน ทั้งการให้สินบนกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่คนนั้นโน้มน้าวให้กรรมการคนอื่นเลือกบริษัทที่ต้องการ หรือการติดสินบนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเพื่อหาทางบิดกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง โดยอาจปรากฎออกมาเป็นความผิดปกติ เช่น

  • มีการประกาศผลช้าผิดปกติทั้งที่ไม่มีเหตุอันสมควร
  • คณะกรรมการคัดเลือกผู้ชนะใช้เกณฑ์อื่นนอกเหนือจากที่ประกาศไว้ในเอกสารเสนอราคา หรือใช้เกณฑ์ตามที่ประกาศไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการแข่งขัน 
  • คณะกรรมการคัดเลือกผู้ชนะการเสนอราคาเป็นบุคคลเดียวกันกับเจ้าหน้าที่บริหารสัญญา 
  • ผู้เสนอราคาต่ำสุดถูกพิจารณาให้มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ

 

  • การบริหารจัดการสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และการควบคุมบริหารโครงการ หรือ project supervision

หลังจากได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว การทุจริตอาจดำเนินต่อมาในขั้นตอนนี้ได้เพราะเป็นขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ควบคุมการส่งมอบ การใช้วัสดุต่างๆ ที่ทั้งผู้รับเหมาและเจ้าหน้าที่รัฐสามารถหาผลประโยชน์ส่วนเกินจากตรงนี้ได้อีก โดยความผิดปกติในขั้นตอนนี้อาจะเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น

  • มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสเปคสินค้าหรือแก้ไขขอบเขตงานหนังมีการลงนามในสัญญาซื้อหรือจ้างไปแล้ว 
  • มีการส่งมอบงานด้อยคุณภาพกว่าที่กำหนดไว้ในสเปค ไม่ครบถ้ว นกรือล่าช้ากว่ากำหนด แต่ไม่มีการลงโทษ ไม่มีการปรับ และมีการอนุมัติงบประมาณส่งเงินได้ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
  • มีค่าใช้จ่ายส่วนที่เกิดจากสัญญาสูงมากโดยไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่เหมาะสมได้
  • มีการขาดการตรวจงานในระหว่างการดำเนินโครงการ หรือ มีความถี่ในการตรวจงานน้อยเกินไป

โดยถ้าหากมีการทุจริตในขั้นตอนนี้ ผลลัพธ์อาจเห็นได้ช้ามาก เพราะกว่าประชาชนจะทราบว่าโครงการนี้ใช้วัสดุไม่ตรงสเปคหรือไม่ได้มาตรฐาน เวลาก็อาจจะผ่านไปค่อนข้างนานแล้ว หรืออาจจะไม่มีความรู้เพียงพอในการประเมินระยะการเสื่อมของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ควบคู่ไปกับปริมาณการใช้งานได้เพราะไม่มีข้อมูล

 

จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าการจัดซื้อจัดจ้างเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่ายมาก นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ให้การช่วยเหลือปกป้องผลประโยชน์กันอย่างเหนียวแน่น จนยากที่จะสืบสาวเข้าไปตรวจสอบการทุจริตได้หากไม่มีอำนาจในการขอดูข้อมูลจากหน่วยงาน หรือไม่มีกำลังคนมากพอในการเข้าไปสืบเสาะหาเรื่องราวต่างๆ จากผู้เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่าย

ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ว่าจะเป็นประกาศการรับประมูล คุณสมบัติของผู้เข้าประมูลในโครงการต่างๆ ข้อมูลบริษัทที่เข้าประมูล และหากมีการประมูลไปแล้วจะต้องมีการเปิดเผยเอกสารยื่นประมูลทั้งหมดเพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าคณะกรรมการได้พิจารณาหาผู้ได้รับคัดเลือกจากเอกสารและกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้จริงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

ในข้อนี้เอง นายก เศรษฐา ทวีสินได้ประกาศไว้แล้วในวันต่อต้านการคอร์รัปชั่นในปี 2566 ว่าจะมีการจัดให้เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และทำให้การทำงานของรัฐบาลต่างๆ ตรวจสอบได้บนระบบออนไลน์ในรูปแบบของรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งในความเป็นจริงจะทำได้หรือไม่ก็คงต้องมาติดตามดูกันต่อไป




advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT