ข่าวเศรษฐกิจ

สภาพัฒน์ปรับลดGDPปีนี้ โตเหลือ 2.5-3.0% ส่งออกติดลบและเงื่อนไขการเมือง

21 ส.ค. 66
สภาพัฒน์ปรับลดGDPปีนี้ โตเหลือ 2.5-3.0% ส่งออกติดลบและเงื่อนไขการเมือง

ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองไทยก่อนโหวตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยในวันพรุ่งนี้ ล่าสุดข้อมูลเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย โดยคาดการณ์ว่า  GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ขยายตัว 1.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ชะลอตัวลงจากการขยายตัว 2.6% ในไตรมาสแรกของปี ส่งผลให้ครึ่งแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.2%  

นอกจากนี้ สภาพัฒน์ยังได้ปรับลด ตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2566 ลงเหลือ ขยายตัว 2.5-3.0% จากประมาณการเดิมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัว 2.7-3.7%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ปรับลด GDP เพราะ การส่งออกไทยติดลบอย่างต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาสแล้ว  โดยคาดการณ์ว่า การส่งออกไทยปี 2566  จะติดลบ -1.8% จากเดิมคาดไว้ที่ ติดลบ -1.6% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ ปรับลดลงมาที่ 1.7-2.2% จากเดิม 2.5-3.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

 สภาพัฒน์ ปรับลดGDPปี2566

 

 

สภาพัฒน์ ปรับลดGDPปี2566

สำหรับศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยในปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28 ล้านคนเท่ากับประมาณการเดิม ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว ปรับลดลงมาที่ 1.03 ล้านล้านบาท จากเดิม 1.27 ล้านล้านบาท

สภาพัฒน์ ปรับลดGDPปี2566

  • ส่วนปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 66 ได้แก่

1.เงื่อนไขทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ
2.เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าคาด และความผันผวนในตลาดการเงินโลก
3.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจ ที่ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
4.ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร

  • ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ได้แก่

  1. การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งมีปัจจัยหนุนสำคัญจากการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้ โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยว การฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
  2. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวไทย
  • ความสำคัญของการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566 

  1. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการติดตามป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก

  2. การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยต้องเร่งเบิกจ่ายจากงบรายจ่ายเหลื่อมปี และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจที่เป็นงบผูกพัน ซึ่งมีอยู่ราว 1 แสนล้านบาท ในช่วงที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ยังมีความล่าช้า พร้อมกับเร่งรัดกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 รวมทั้งเตรียมความพร้อมของโครงการต่างๆ ให้สามารถเบิกจ่ายได้โดยเร็ว

  3. การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสร้างการรับรู้ต่อมาตรการ Long - term Resident VISA (LTR) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่มีศักยภาพ และการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง

  4. การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อการผลิต และการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับสูง

  5. การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้า เพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้วยการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวกับการส่งออก, ขยายการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูง และสร้างตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง, การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน 
  1. การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563 - 2565 ให้เกิดการลงทุนจริง และการแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ "ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรามองว่า การบริโภคในประเทศยังขยายตัวได้ดี แต่ปัญหาของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ เป็นปัญหาในภาคการส่งออกเป็นหลัก พันมาที่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม เราต้องพยายามคงการบริโภคในประเทศให้สร้างบรรยากาศการขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้" นายดนุชา กล่าว
    สภาพัฒน์ ปรับลดGDPปี2566
     

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่นิ่งนั้น เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า มีเรื่องเดียวคือ การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ส่วนปัญหาความขัดแย้งในเรื่องการออกมาชุมนุมนั้น เห็นว่ายังมีไม่มากและไม่รุนแรงขยายวงกว้าง ดังนั้นถ้าสามารถทำให้การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยมากที่สุด ก็จะทำให้นักลงทุนที่ชะลอดูสถานการณ์อยู่นั้น เกิดความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น

"ตอนนี้ นักลงทุนต่างประเทศรอดูสถานการณ์อยู่ว่า การเมืองไทยเป็นอย่างไร ต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศในช่วงเปลี่ยนผ่านให้เกิดความเรียบร้อย ไม่ให้กระทบบรรยากาศการลงทุน" นายดนุชา กล่าว

สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 คาดว่าจะเริ่มเห็นการเบิกจ่ายได้ในเดือนเม.ย. 67 ซึ่งหากทุกหน่วยงานได้เตรียมกระบวนการต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว พองบประมาณออกมาก็สามารถเบิกจ่ายได้ทันที อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเบิกจ่ายงบประมาณนั้น จะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณไปพลางก่อนได้ เพื่อทำให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้จัดทำหลักเกณฑ์ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ส่วนการพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปนั้น นายดนุชา มองว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีปัญหาการบริโภคในประเทศ แต่เป็นเรื่องการส่งออก ดังนั้นต้องเร่งรัดการส่งออกเป็นหลัก การจะมีมาตรการใดๆ ออกมา ต้องคำนึงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนั้นด้วยว่าเป็นอย่างไร และจะมีมาตรการอะไรที่จะเข้ามาช่วยพยุงหรือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ตรงเป้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะต้องติดตามเศรษฐกิจจีนที่มีความผูกพันกับเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก ตลอดจนปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ และการแข่งขันทางการค้าในช่วงถัดไป

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT