EssilorLuxottica เครือแบรนด์เลนส์และแว่นหรูสัญชาติอิตาเลียน-ฝรั่งเศส เจ้าของแบรนด์ Ray-Ban ลงทุน 1.6 หมื่นล้านบาทสร้างโรงงานผลิตในจังหวัดระยอง ประเทศไทย เพื่อผลิตสินค้าส่งตลาดอาเซียน ขณะนี้สร้างเสร็จสิ้นแล้ว และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในเดือนพฤศจิกายน
วันที่ 20 ตุลาคม สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า โรงงานที่จังหวัดระยองของ EssilorLuxottica เครือแบรนด์แว่นตาหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และจะเริ่มผลิตได้ในเดือนหน้า โดยโรงงานนี้มีขนาดถึง 220,000 ตารางเมตร และมีกำลังการผลิตถึง 50,000 ชิ้นต่อวัน ทำให้โรงงานนี้เป็นหนึ่งในโรงงานผลิตแว่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะเป็นฐานการผลิตระดับภูมิภาคสำหรับผลิตสินค้าป้อนตลาดอาเซียน
นอกจากกรอบแว่นแล้ว โรงงานนี้ยังจะเป็นแหล่งผลิตเลนส์ เลนส์ตามสั่ง และแว่นกันแดดสำหรับจำหน่ายในภูมิภาค โดยจะสร้างงานให้คนในพื้นที่มากถึง 6,000 ตำแหน่งในเวลา 3-5 ปีข้างหน้า
EssilorLuxottica เครือแบรนด์แว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
EssilorLuxottica เป็นเครือแบรนด์แว่นตาสัญชาติอิตาเลียน-ฝรั่งเศส ที่เกิดจากการควบรวมกันระหว่างบริษัท Luxottica ของอิตาลี และ Essilor ของฝรั่งเศส ในวันที่ 1 ตุลาคมปี 2018 ปัจจุบันเป็นเจ้าของแบรนด์แว่นตาและเชนร้านแว่นตากว่า 150 แบรนด์ โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 ประเภทคือ
- ธุรกิจผลิตเลนส์และอุปกรณ์ช่วยสำหรับช่างตัดแว่นตา เช่น แบรนด์ Essilor, Varilux, Eyezen, Xperio และ Barberini
- ธุรกิจผลิตแว่นตาและแว่นกันแดด ประกอบไปด้วยทั้งการผลิตสินค้าสำหรับแบรนด์ภายในบริษัทเอง เช่น Ray-Ban, Oakley และ Oliver Peoples และการรับผลิตสินค้าสำหรับไลน์แว่นตาของแบรนด์แฟชั่นหรู เช่น Giorgio Armani, Bulgari, Burberry, Chanel, Coach, Dolce&Gabbana, Prada, Ralph Lauren, Swarovski, Tiffany & Co., Tory Burch และ Versace
- ธุรกิจร้านแว่น ซึ่งมีสาขารวมกันถึง 18,000 แห่งทั่วโลก เช่น ร้าน Sunglass Hut, Ray-Ban และ Oakley.
จากรายงานผลประกอบการของบริษัท ปัจจุบัน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคือตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจาก ตลาดอเมริกาเหนือ และตลาดยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) และมีสาขาอยู่ในภูมิภาคทั้งหมด 1,394 แห่ง
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 EssilorLuxottica ทำรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด 2,279 ล้านยูโร จากทั้งหมด 19,145 ล้านยูโร โดยการลงทุนตั้งโรงงานในเอเชียในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการเข้ามาตีตลาดและรองรับความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภคเอเชียที่ในปัจจุบันนิยมซื้อสินค้าหรูหรามากขึ้น
ที่มา: Nikkei Asia