จากกรณีนายระพีพัฒน์ ปัญญาดี อายุ 18 ปี หรือ "น้องเตี๋ย" ผูกคอตายภายในห้องนอน ในพื้นที่ ต.นาซำ อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ หลังจากกรีดแขนใช้เลือดตัวเองเขียนสัญลักษณ์รูปดาว 5 แฉกไว้ที่พื้นบ้าน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการบูชาซาตาน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
สำหรับสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉก เป็นลัญลักษณ์ของคริสเตียนเกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 เกี่ยวข้องกับการปกป้องจากความชั่วร้าย และเป็นตัวแทนจากธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และวิญญาณ ทั้งนี้คาดว่าก่อนที่นายระพีพัฒน์ จะผูกคอตาย ได้ใช้มีดทำครัวปลายแหลมกรีดที่ข้อมือซ้าย แล้วใช้ถ้วยรองเลือดไว้ จากนั้นใช้นิ้วจิ้มและเขียนสัญลักษณ์ดังกล่าวก่อนที่จะผูกคอตายจนเสียชีวิต
ล่าสุดวันที่ 5 พ.ค.63 ทีมข่าวได้เดินไปที่บ้านหลังดังกล่าว ในพื้นที่ ต.นาซำ อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศพของน้องเตี๋ย
ทีมข่าวได้พบกับ น.ส.นิตย์ ครองชัย อายุ 50 ปี และนายธนิรัตน์ ปัญญาดี อายุ 56 ปี พ่อและแม่ของน้องเตี๋ย ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ในคืนของวันที่ 4 พ.ค.63 เวลาประมาณ 22.00 น. เห็นหญิงสาวและชายหนุ่มน่าจะเป็นแฟนกัน เดินเข้ามาในงานศพโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวใคร ก่อนเดินเข้าไปถึงหน้าโลงศพและมีการจุดธูปหนึ่งดอก ซึ่งตนสังเกตว่าหญิงสาวคนดังกล่าวปักธูปไม่ลง แล้วจากนั้นหญิงสาวก็มีการถามหาว่า “แม่ของพี่เตี๋ยอยู่ที่ไหน” จากนั้นหญิงสาวคนดังกล่าวก็เดินมาหาตนและบอกกับตนว่า “หากไม่มีเตี๋ย แม่จะอยู่ยังไง” และมีอาการร้องไห้ฟูมฟาย ตัวสั่น ไม่เหมือนกับคนปกติ ก้มลงกราบหลายครั้ง และพูดว่าขอโทษ พร้อมยังได้เดินไปหาพ่อและก้มลงกราบพ่อเช่นกัน
ตอนนั้นตนและสามีตกใจมาก เพราะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนดังกล่าวมาก่อน จากการสอบถามพบว่าเป็นรุ่นน้องของลูกชาย และสามีของหญิงรายดังกล่าวบอกว่า หญิงสาวมีอาการกระวนกระวาย เจ็บที่แขนและขอให้รีบพามาที่งานศพแบบกระทันหัน ทั้งที่ตนตั้งใจจะพามางานศพในวันที่ 6 พ.ค.63
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ตนคาดว่าอาจจะเป็นไปได้ที่ลูกชายต้องการสื่อสารกับตน ซึ่งตนก็ได้บอกลูกชายไปหลายรอบแล้วหลังจากที่ลูกเสียไป ตนก็ขอให้ลูกชายไปสู่สุคติ แต่ในวันนี้ได้มีการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกชายดู ปรากฏว่าข้อมูลต่าง ๆ ได้ลบทิ้งไปหมดแล้ว แต่ก็มีประวัติการเข้าไปดูยูทูบ ส่วนมากเป็นเรื่องราวของการติดต่อกับซาตาน การขายวิญญาณให้กับซาตาน รวมทั้งลูกชายได้เขียนโน้ตใส่แผ่นกระดาษไว้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรหัสการเข้าเล่นเกมหรือรหัสเกี่ยวกับการติดต่อกับซาตาน ซึ่งจะได้ให้ผู้ที่มีความรู้มาตรวจสอบต่อไป
นอกจากนี้ทีมข่าวได้มาพบกับน้องแนน (สงวนชื่อ-สกุลจริง) อายุ 16 ปี รุ่นน้องของน้องเตี๋ย ซึ่งน้องแนนมีอาการแปลก ๆ หลังจากที่น้องเตี๋ยเสียชีวิต
น้องแนน เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ในคืนวันที่ 4 พ.ค.63 ตนอยู่ที่บ้านปกติ ตอนนั้นก็ทราบข่าวแล้วว่ารุ่นพี่ที่โรงเรียนผูกคอเสียชีวิต ตนก็รู้สึกตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะทำแบบนี้ คืนเดียวกันตนรู้สึกมีอาการแปลก ๆ เริ่มแสบที่แขนซ้าย ตอนแรกก็คิดว่าคงไปโดนเม็ดพริก แต่ผ่านไปครูหนึ่งเริ่มแสบมากขึ้น และมีอาการปวดท้องรุนแรง แน่นที่ลำคอ หายใจใม่ค่อยสะดวก คล้ายคนเป็นโรคหอบหืด พยายามลุกมากินข้าวก็อาเจียนออกมาทั้งหมด รู้สึกแปลก ๆ ว่าอยากจะไปงานศพของรุ่นพี่ให้ได้ ตนร้องไห้ และบวกกับหลานบอกว่าเห็นเงาสีแดงอยู่ด้านหลังตน และตนมีอาการพูดเรื่อยเปื่อยว่า "ทำทำไม พ่อแม่จะอยู่ยังไง" ตนรีบขอร้องแฟนหนุ่ม ให้ช่วยถามให้ว่าบ้านรุ่นพี่อยู่ที่ไหน และให้แฟนหนุ่มพาไป
เมื่อไปถึงงานศพ ปรากฏว่าอาการทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง ตนได้เข้าไปกราบศพรุ่นพี่และพูดหน้าศพรุ่นพี่ว่า “หากสิ่งที่หนูเป็นไม่ใช่มโนสำนึก หรือคิดไปเอง อยากให้พี่ทำให้หนูเป็นอีกครั้ง พี่อยากพูดอะไร อยากบอกพ่อแม่ว่ายังไงเป็นครั้งสุดท้ายให้ใช้หนูเป็นสื่อกลาง” หลังจากไหว้ศพตนได้เดินออกมา และถามหาพ่อแม่รุ่นพี่ เพาะตนไม่เคยเจอมาก่อน จากนั้นเมื่อเจอแม่รุ่นพี่ตนก็โผกอด และพูดว่า “พี่เตี๋ยไม่อยู่แล้ว พ่อแม่จะลำบากไหม” ในใจตนก็รู้สึกเป็นห่วงพ่อแม่รุ่นพี่ ราวกับเป็นพ่อแม่ของตัวเอง รู้สติทุกอย่างแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นและหายปลิดทิ้ง
เหตุที่ตนสัมผัสได้ น่าจะเพราะหลายเดือนก่อน ตนเคยเครียดเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว และเคยกรีดแขนเช่นเดียวกับรุ่นพี่ จึงอาจจะทำให้สื่อสารกันได้
ทีมข่าวได้มีการพูดคุยกับ น.ส.สุขวสา มุขพรหม นักเขียนด้านความเชื่อและจิตวิญญาณ ให้ข้อมูลว่า จากสัญลักษณ์รูปดาว 5 แฉกที่ปรากฏอยู่บนพื้นจุดเกิดเหตุนั้น เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและวิญญาณ ซึ่งสามารถให้ความหมาย 2 ด้าน ด้านขาวเรียกว่าด้านดี ด้านดำเรียกว่าด้านมืด ซึ่งด้านขาวจะใช้สำหรับนักบวช หรือพิธีกรรมที่ส่งเสริมให้เจริญงอกงาม ส่งเสริมด้านสติปัญญาและความรู้ แต่ด้านมืดคือการทำให้ดวงวิญญาณเกิดความทุกข์ จิตตก แต่การที่เขียนสัญลักษณ์ดังกล่าว เพื่อการผูกคอตาย ถือว่าเป็นการปิดมิติเพื่อให้ดวงวิญญาณวนเวียนและติดอยู่ภายในห้องดังกล่าวโดยไม่สามารถไปที่ไหนได้
อีกทั้งการใช้เลือดของตัวเองเขียนสัญลักษณ์ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นคำสัญญา เป็นตัวเชื่อมทำให้พิธีดังกล่าวประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะเลือกให้ตัวเองเป็นตัวแทนขององค์ประกอบ ดิน น้ำ ลม ไฟ และวิญญาณ
แต่ในหลักความเป็นจริง ในฐานะที่ตนศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าพิธีดังกล่าวจะเรียกว่าการถวายวิญญาณให้กับซาตาน แต่เป็นหลักความคิดที่ผิด สำหรับคนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวและเดียวดาย ถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่วร้ายหรือซาตาน ที่ทำให้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแบบที่เรียกว่า “จิตมโน” ซึ่งในหลักของคนที่มีความเชื่อเรื่องนี้ ไม่มีพิธีกรรมที่เรียกว่าถวายวิญญาณให้ซาตาน ยกเว้นแต่ว่ากลุ่มคนที่ศึกษามาแบบผิด ๆ จะคิดและมโนไปเองแล้วก่อเหตุดังกล่าว
ฉะนั้นแม้ว่าครอบครัวจะประกอบพิธีทางศาสนา ตามความเชื่อศาสนาพุทธ ก็จะเป็นเพียงแค่การบรรเทา ทำให้สภาพจิตใจของคนที่ยังเหลืออยู่เกิดความสบายใจ แต่ในมุมของผู้ที่จากไป ด้วยพิธีกรรมดังกล่าว จะยังคงวนเวียน และผูกติดอยู่ในสถานที่จุดที่ตาย แล้วจะยังคงไปไหนไม่ได้ จนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย ซึ่งทางออกจะต้องใช้ผู้ที่มีพลังจิต ไปสื่อสารกับดวงวิญญาณ ที่ปิดตัวเองเอาไว้อยู่ภายในห้อง แล้วทำการสื่อสาร เพื่อให้รับรู้ แล้วเกิดการปลดปล่อยดวงวิญญาณ
ทั้งนี้จะไม่มีการประกอบพิธีใดที่จะปลดปล่อยได้ นอกจากสภาพจิตใจของผู้ตายจะยอมปลดปล่อยตัวเอง แต่ในอีกมุมหนึ่งคนที่จะทำให้วิญญาณได้รับการปลดปล่อย คือคนที่พูดตายรักมากที่สุด หรือพ่อ-แม่ ต้องเข้าไปสื่อสาร พูดคุยกับดวงวิญญาณ พูดคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็น ให้ความรักความอบอุ่น เพราะซาตานเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีความรัก ขาดความรัก ดังนั้นหากคนไปมอบความรักให้กับซาตาน ก็จะปลดปล่อยดวงวิญญาณได้ในที่สุด
