เปิดชะตากรรม "ตาชาญ" ตำนานรักมั่นเฝ้าศพเมีย 21 ปี ลูกโต้ทอดทิ้ง (คลิป)

16 เม.ย. 67

รุดช่วย "ตาชาญ" เคยตกเป็นข่าวดังเฝ้าศพภรรยานานกว่า 21 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านคนเดียว ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลูกชายโต้ไม่ดูแลพ่อ

จากกรณีผู้ใช้งานเอ็กซ์ (X) ใช้ชื่อ Red Skull โพสต์คลิปวอนช่วยเหลือ ‘ร.ต.ชาญ จันทร์วัชกาล’ อายุ 74 ปี อดีตข้าราชการแพทย์ทหารเกษียณอายุ ที่เคยเป็นข่าวดัง เมื่อปี 2565 กรณีเก็บร่างภรรยาที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวไว้ในบ้านพักนานกว่า 21 ปี ตั้งแต่ปี 2544 โดยถ่ายคลิปเผยให้เห็นสภาพล่าสุดที่ ร.ต.ชาญ นอนอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในพื้นบ้านที่มีสภาพสกปรก และสวมเสื้อเพียงตัวเดียวไม่สวมกางเกง โดยมีข้อมูลจากเพื่อนบ้านว่าปัจจุบันคุณลุงไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและเริ่มมีอาการหลงลืม จึงอยากขอความช่วยเหลือหน่วยงานภาครัฐให้เข้าไปช่วยเหลือดูแล

606977

ล่าสุดทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านพักของ ‘ร.ต.ชาญ จันทร์วัชกาล’ อายุ 74 ปี อยู่ภายในซอยรามอินทรา 23 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 198 ตารางวา ที่บริเวณด้านหน้าบ้านมีเพิงพักสำหรับเป็นคอกสุนัขสร้างด้วยอิฐบล็อกอย่างง่ายๆ ถัดออกไปหรือเป็นเพิงพัก ซึ่งอาสาสมัครกู้ภัยเพชรเกษมกรุงเทพได้สร้างใหม่ให้ลุงเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน และเป็นที่อยู่ที่ลุงอยู่ในปัจจุบัน

285303

ส่วนหลังสุดเป็นเพิงพักเก่าที่ลุงใช้เก็บร่างของภรรยา ก่อนที่จะให้อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิช่วยจัดการร่างของภรรยา ซึ่งได้เสียชีวิตมาเป็นเวลา 21 ปีแล้ว นำไปณาปนกิจศพ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยหลังจากฌาปนกิจศพแล้ว คุณลงได้นำอัฐิของภรรยาบรรจุโกฐิและเถ้ากระดูกใส่ผ้าขาว นำกลับมาที่บ้านแล้ววางไว้บนตู้ในเพิงพักหลังเดิม โดยวางอยู่จนถึงปัจจุบัน

จากการสอบถาม ร.ต.ชาญ ซึ่งยังพอจะพูดคุยได้ เมื่อสอบถามว่า ลุงชาญกินข้าวหรือยัง อยากกินอะไร ก็บอกว่ายังไม่ได้กิน อยากกินข้าวมันไก่ โดยเมื่อสอบถามถึงลูก ลุงก็บอกว่าลูกตายแล้ว และเมื่อสอบถามว่าลุงอยากจะไปอยู่ที่อื่นที่ได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้หรือไม่ ลุงก็บอกว่าอยากอยู่บ้าน โดยระหว่างที่พูดคุยลุงก็ทำท่าชูนิ้วโป้งให้

320704

ด้าน นายอนุชา บัวทอง พนักงานวิทยุสื่อสาร มูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ เล่าว่า เมื่อช่วง 2 ปีก่อน ลุงชาญ ได้มาติดต่อกับทางอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ ขอให้ช่วยนำศพของภรรยาซึ่งเก็บรักษาไว้เป็นเวลานานกว่า 21 ปีภายในที่พักให้นำไปฌาปนกิจศพทางศาสนา เมื่อมาถึงก็พบโลงศพที่บรรจุร่างของผู้เป็นภรรยาวางอยู่บนพื้นภายในเพิงพัก ส่วนตัวของลุงชาญทราบว่าไปนอนอยู่ในคอกสุนัข

ซึ่งต่อมาหลังจากที่เผาศพของภรรยาลุงชานเรียบร้อยแล้วลุงก็ขอนำอัฐิและเถ้ากระดูกกลับมาเก็บรักษาไว้ภายในเพิงพักหลังเดิม โดยตั้งอยู่บนตู้เหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกันทางมูลนิธิกู้ภัยเพชรเกษมกรุงเทพก็ได้ทำการสร้างที่อยู่ให้ลุงใหม่ โดยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ลักษณะเป็นห้องขนาดเล็กโดยมีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง และมีการต่อไฟจากเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างกัน แต่ระยะหลังลุงอาการไม่ดีและทำน้ำหกใส่เครื่องใช้ไฟฟ้าและปลั๊กไฟต่างๆ จึงต้องทำการตัดไฟเพื่อป้องกันอันตราย

ขณะเดียวกันที่ผ่านมาสำหรับมูลนิธิเองก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยแวะเวียนเข้ามาหาลุงชาญอยู่ตลอด ปกติก็จะเข้ามาช่วยอาบน้ำทำความสะอาดและตัดเล็บตัดผมให้กับลุง 1-2 เดือนครั้ง

ซึ่งด้วยภารกิจของมูลนิธิที่มีหลายอย่างทำให้มาทุกวันไม่ได้ ซึ่งคงจะดีหากมีหน่วยงานไหนที่สามารถรับลุงไปดูแลได้เพื่อให้มีความเป็นอยู่และสุขอนามัยที่ดีกว่านี้

 

761131


ขณะที่ ดาบตำรวจรณยุทธ อินทร์ยิ้ม อายุ 51 ปี ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ซึ่งเป็นคนที่คอยแวะเวียนมาดูแลลุงชาญ บอกว่ารู้จักกับลุงชาญเพราะอยู่ในกลุ่มคนรักสัตว์ด้วยกัน โดยเริ่มเข้ามาช่วยดูแลลุงชาญเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน หลังจากที่ลุงติดต่อทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้เข้าไปช่วยนำศพภรรยาไปฌาปนกิจทางศาสนา โดยพอกลับมาลุงชาญก็เริ่มที่จะล้มป่วยแต่ยังพอมีเรี่ยวแรงเดินไปไหนมาไหนได้

จนกระทั่งเมื่อช่วงประมาณต้นปี 2566 ลุงก็เริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นอนติดที่ต้องมีคนคอยดูแล ตนและชาวบ้านแถวนี้อีกคนก็ได้แค่เข้ามาคอยส่งอาหารให้กับลุงโดยใช้เงินส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนเรื่องของการอาบน้ำก็จะมีทางมูลนิธิกู้ภัยเพชรเกษมกรุงเทพที่คอยมาช่วยเหลือ

ส่วนเรื่องครอบครัวของลุงชาญทราบมาว่าลุงมีลูกชาย 2 คน ตนไม่แน่ใจว่าตัวของลุงชาญและลูกมีปัญหาอะไรกันหรือไม่ เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2566 ลูกคนโตเคยพาลุงไปอยู่ที่สถานดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่งแล้ว แต่ลุงชาญไม่ต้องการจะอยู่ที่นั่น พยายามจะใช้มือแหย่ปลั๊กไฟจึงต้องพากลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม

ตนคิดว่า ลุงชาญน่าจะอยากอยู่ที่บ้าน ไม่อยากไปอยู่ที่อื่น เพราะคงจะมีความรักและผูกพันกับที่ดินผืนนี้ ซึ่งเคยอยู่กับภรรยา แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านก็อยู่ในสภาพแบบนี้โดยไม่มีคนที่มาคอยดูแล ที่ผ่านมาก็เคยมีหน่วยงานเข้ามาจะให้ความช่วยเหลือพาตัวลุงชาญไปดูแลที่อื่น แต่ลุงก็ไม่ยอมไป โดยถึงขนาดสั่งตนไว้ว่าหากเสียชีวิตก็ให้เผา แล้วก็นำอัฐิเท่ากระดูกมาไว้ที่บ้านหลังนี้ เพื่อจะอยู่กับภรรยาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว

ขณะเดียวกันก็ทราบมาว่า ลุงชาญเป็นคนมีฐานะ เคยพูดให้ฟังว่า เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ และนอกจากนี้ก็ยังมีชื่อเป็นเจ้าของห้องพัก 2 ห้องที่เคหะแห่งหนึ่ง ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าทรัพย์สินส่วนนี้ยังอยู่ในชื่อของลุงชาญหรือไม่

 

465029

ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด บอกว่า ตนได้รับประสานจากชาวบ้านที่อยู่ข้างเคียงให้เข้ามาช่วยเหลือดูแลลุงชาญพราะว่า ลุงชาญไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ซึ่งคนที่เข้ามาคอยช่วยดูแลก็ไม่สามารถดูแลได้อย่างเต็มที่

จากการพูดคุยกับลุงชาญเบื้องต้น พบว่าลุงยังพูดคุยรู้เรื่องแต่ยังโต้ตอบได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่จากสภาพแวดล้อมบ้านพักที่อยู่ซึ่งลุงชาญต้องนอนจมกองขี้กองเยี่ยว ตนก็อยากให้ลุงได้ไปอยู่ในที่ที่มีสุขอนามัยที่เหมาะสม

ล่าสุดตนจึงได้ประสานงานกับทางอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เพื่อจะช่วยเหลือนำลุงชานไปที่ศูนย์พัฒนาการผู้สูงอายุ คลอง 5 ปทุมธานี ของกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. เพื่อจะพาคุณตาไปทำกายภาพบำบัดก่อน เพื่อที่คุณตาจะกลับมาเดินได้และหากจะกลับมาอยู่ที่บ้านก็จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ส่วนทางด้านลูกของลุงชาญตนก็ไม่รู้ว่า ปัญหาในครอบครัวเป็นอย่างไร ซึ่งตนก็ขอไม่ก้าวล่วงแต่ก็อยากจะฝากบอกให้ลูกลูกกลับมาดูแลท่านบ้าง เพราะก็คงไม่มีพ่อคนไหนอยากจะไปอยู่ในความดูแลของคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเอง สุดท้ายแล้วพ่อก็เป็นพ่อของเรา

 

273894

จากการสอบถาม นายมด (นามสมมติ) อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของลุงชาญ ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ กำลังเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาได้เปิดภาพ ที่เคยพาลุงชาญเข้าไปอยู่ในสถานรับดูแลคนชราของเอกชนเมื่อเดือนกันยายน 2566 และโชว์สลิปการโอนเงินให้กับสถานพยาบาลดังกล่าวเป็นเงิน 16,000 บาท

โดยนายมด ยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนก็คอยดูแลพ่อมาโดยตลอด แต่ด้วยความที่ตนทำงานรับราชการ มีรายได้เดือนละประมาณ 30,000 บาท ซึ่งตนก็ต้องทำงานและเรียนไปด้วยทำให้ไม่สามารถที่จะดูแลพ่อเต็มเวลาได้ จนช่วงวันที่ 20 กันยายนปี 2566 จึงตัดสินใจพาพ่อไปที่สถานดูแลคนชราของเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งจะคอยดูแลพ่อทุกอย่างเสียค่าใช้จ่ายเดือนละ 16,000 บาท

โดยตนพาพ่อเข้าไปช่วงประมาณ 11 โมง อยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง ประมาณช่วงบ่ายทางสถานรับเลี้ยงก็ติดต่อตนให้กลับมารับพ่อกลับไป พร้อมกับคืนเงินค่าใช้จ่ายให้ เนื่องจากพ่อแสดงออกว่าไม่ต้องการจะอยู่ที่นั่นและใช้นิ้วแหย่ปลั๊กไฟลักษณะเหมือนจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย จนทำให้ตนคิดถึงที่พ่อเคย สั่งเสียไว้ว่าหากพ่อแก่ชราลง ห้ามพาพ่อไปไว้ที่อื่น เพราะพ่อต้องการที่จะตายอยู่ที่บ้านหลังนี้

หลังจากที่ออกจากสถานรับเลี้ยงดังกล่าวตนก็พาพ่อมาที่โรงพยาบาล เนื่องจากสถานรับเลี้ยงได้แนะนำและบอกว่าพ่ออาจมีอาการทางจิตประสาท จนต้นก็พาพ่อไปตรวจสุขภาพจนพบว่าพ่อป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมร้ายแรง ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่รับยาแล้วก็พาพ่อกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ โดยภาระที่ต้องทำงาน ที่มีรายได้แค่พอเลี้ยงดูตัวเอง จึงไม่สามารถดูแลพ่อได้อย่างเต็มเวลา ซึ่งก็ยอมรับว่าอาการของพ่อแย่ลงหนักกว่าเดิมเร็วมาก

นายมด บอกอีกว่า ที่ผ่านมาตนก็รู้สึกเครียดเพราะถูกสังคมต่อว่าว่าไม่ดูแลพ่อ แต่ตนก็อยากก็บอกว่าตนก็ดูแลตามกำลังและความสามารถเท่าที่ตนจะทำได้แล้ว ซึ่งใครไม่มาอยู่ในจุดนี้ก็คงจะไม่เข้าใจ

ส่วนกรณีของดาบตำรวจคนดังกล่าวที่ยื่นมือมาช่วยเหลือดูแลพ่อนั้น ตนยอมรับว่าไม่ไว้ใจดับตำรวจคนดังกล่าวและก็ตั้งคำถามกับดาบตำรวจคนดังกล่าวว่าที่เข้ามาต้องการจะช่วยเหลือหรือว่าหวังประโยชน์อะไรหรือไม่ เพราะก่อนหน้าที่พ่อจะป่วยก็เคยบอกว่าตำรวจนายนี้เคยมาหยิบฉวยข้าวของในบ้านไป แถมปัจจุบันอาศัยตอนพ่อป่วย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็นำหมาของตัวเองมาไว้ที่บ้านหลังนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต ตนเองและญาติเคยเข้ามาเจรจาให้นำสุนัขออกไปแล้วแต่ก็เกิดมีปากเสียงโต้เถียงกัน ไม่รู้หวังจะมาแอบอ้างครอบครองปรปักษ์หรือไม่

นายมด บอกอีกว่า ตอนนี้ตนเป็นผู้อนุบาลของพ่อตามกฏหมาย ตอนนี้ในเมื่อพ่อถูกนำตัวไปอยู่ในความดูแลของ พม. แล้ว หากต่อไปพ่อยินยอมที่จะอยู่ต่อ ตนก็คงจะรู้สึกเบาใจที่พ่ออยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ส่วนดาบตำรวจนายดังกล่าวตนก็ขอให้นำสุนัขออกไปจากบ้านหลังนี้ภายใน 10 วัน

แต่หากหลังจากนี้พ่อต้องการที่จะกลับมาอยู่บ้าน ตนก็วางแผนไว้ว่าจะทำการปล่อยเช่าที่ดินที่บ้านหลังนี้บางส่วนประมาณ 160 ตารางวาเพื่อจะนำเงินค่าเช่านำมาจ้างคนที่จะเลี้ยงดูพ่อจนถึงบ้านปลายชีวิตต่อไป

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส