เผย 7 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง พร้อมแนวทางในการป้องกัน

4 ต.ค. 66

"หมอหมู" เผย 7 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง พร้อมแนะแนวทางในการลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิงในประเทศไทย

รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เผยข้อมูลปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่เหตุกราดยิง และแนะวิธีการป้องกัน โดยรายละเอียดระบุว่า

 

กราดยิง

การลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง

โดยส่วนตัวคิดว่าการแก้ปัญหาความรุนแรง และป้องกันเหตุกราดยิงในประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุมาแล้วหลายเหตุการณ์ ดังนั้นวันนี้ผมจึงขอนำเสนอแนวคิดการลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง ผ่านงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับการแก้ปัญหาดังกล่าวในประเทศไทยครับ

 

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง

นักจิตวิทยา จิลเลียน ปีเตอร์สัน และ นักสังคมวิทยา เจมส์ เดนสลีย์ เจ้าของโครงการวิจัย The Violence Project ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเหตุกราดยิงในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุกราดยิงกว่า 1,000 คน ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง ได้แก่

  1. ปัญหาทางจิตเวช เช่น โรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว โรคซึมเศร้า
  2. ประวัติการถูกกระทำ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศ การกลั่นแกล้งรังแก
  3. ปัญหาด้านความสัมพันธ์ เช่น มีปัญหาครอบครัว มีปัญหาในที่ทำงาน มีปัญหากับเพื่อน
  4. ความเครียด จากปัญหาต่างๆ ในชีวิต เช่น ปัญหาการเงิน ปัญหาการงาน ปัญหาสุขภาพ
  5. ความคิดและความเชื่อที่รุนแรง เช่น แนวคิดสุดโต่ง แนวคิดแบ่งแยกเชื้อชาติ แนวคิดต่อต้านสังคม
  6. การเข้าถึงอาวุธปืน ที่ง่ายดาย
  7. การเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ เช่น ภาพยนตร์ เกม สื่อสังคมออนไลน์

จากการวิจัยของ The Violence Project พบว่า กว่าครึ่งของผู้ก่อเหตุกราดยิงมีอาการทางจิตเวชอย่างน้อย 1-4 อาการ ก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ โดยอาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน และการแยกตัวจากสังคม อย่างไรก็ดี ผลการศึกษายังพบว่า กว่าครึ่งของผู้ก่อเหตุกราดยิงไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิตเภท ซึ่งเป็นโรคจิตเวชที่รุนแรงที่สุด

 กราดยิง

การเข้าถึงอาวุธปืนที่ง่ายดายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุกราดยิงได้มากขึ้น ผลการศึกษาพบว่า ผู้ก่อเหตุกราดยิงส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้อย่างง่ายดาย

การเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดเหตุกราดยิงได้มากขึ้น ผลการศึกษาพบว่า ผู้ก่อเหตุกราดยิงส่วนใหญ่มีประวัติการดูหรือเล่นเกมที่มีความรุนแรง

จากผลการวิจัยของ The Violence Project พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านสังคมมักมีความสัมพันธ์กัน โดยปัจจัยส่วนบุคคลอาจเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลมีความคิดและความเชื่อที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิงได้ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสังคม เช่น การเข้าถึงอาวุธปืนที่ง่ายดาย และการเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ ก็อาจทำให้บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะก่อเหตุกราดยิงมีโอกาสลงมือก่อเหตุได้มากขึ้น

 

การลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง

การลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิงจึงจำเป็นต้องพิจารณาทั้งปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านสังคม โดยแนวทางในการลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง ประกอบไปด้วย

  1. การส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาทางจิตเวช
  2. การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชน เพื่อลดปัญหาด้านความสัมพันธ์
  3. การแก้ไขปัญหาความเครียด จากปัญหาต่างๆ ในชีวิต
  4. การลดการเข้าถึงอาวุธปืน
  5. การลดการเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ
  6. การส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง เพื่อลดความขัดแย้งในสังคม

 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส