รู้ไว้ อันตรายไข้หวัดใหญ่ ดูแลก่อนจะสาย กี่วันหาย
ในช่วงฝนตกแบบนี้ นอกจากจะสัญจรเดินทางลำบากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการป่วยเป็นหวัด โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ ซึ่งระบาดในช่วงฤดูฝนมากกว่าฤดูหนาว จากสถิติกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ป่วยจากไข้หวัดใหญ่สะสม จำนวน 216,600 คน และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 7 คน ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่แพ้การวางแผนการเดินทางในช่วงหน้าฝน
ไข้หวัดใหญ่ คืออะไร
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) โดยไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายในคนมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่
- สายพันธุ์ A
- สายพันธุ์ B
- สายพันธุ์ C
สายพันธุ์ที่ระบาดทั่วไป คือ สายพันธุ์ A และ B ซึ่งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่พบบ่อย คือ H1N1, H3N2 ส่วนไข้หวัดสายพันธุ์ B ที่พบบ่อย คือ สายพันธุ์ Victoria, Yamagata ส่วนสายพันธุ์ C หากติดเชื้อ มักจะไม่แสดงอาการ จึงทำให้ไม่เกิดแพร่การระบาด
หรืออาจสามารถแยกไข้หวัดใหญ่ในออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จากเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว แต่เชื้อโรคมีการกลายพันธุ์ ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อมาแล้ว มักจะแสดงอาการไม่รุนแรง เนื่องจากมีภูมิคุ้มกัน
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากกลายพันธุ์จากเชื้อไวรัสตัวเดิมอย่างสิ้นเชิง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการติดเชื้อและแพร่ระบาดในวงกว้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่จะกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
อาการไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่มักจะมีอาการที่รุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดา อาการมักเกิดขึ้นทันทีแบบไม่ทันได้ตั้งตัว โดยผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ มักมีไข้สูงติดต่อกันหลายวัน อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย ต่างจากไข้หวัดธรรมดา ที่ผู้ป่วยมักจะค่อย ๆ แสดงอาการ มีไข้แต่ไม่สูงมากนัก
- ไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- ปวดศีรษะ
- ปวดตามร่างกาย
- หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- ไอแห้ง เจ็บคอ
- เบื่ออาหาร
ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน อาจทำให้ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ ได้แก่ ปอดอักเสบ (หากผู้ป่วยเป็นโรคปอดหรือถุงลมโป่งพอง อาการจะยิ่งรุนแรง) หลอดลมอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัส และเยื้อหุ้มสมองอักเสบ (ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ) มักเกิดกับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคไต โรคเอดส์
การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คล้ายกับการติดเชื้อไข้หวัดทั่วไป สามารถติดต่อผ่านการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยเข้าไป รวมถึงการสัมผัสมือหรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ร่วมกับผู้ป่วย โดยการแพร่ระบาดเกิดขึ้นได้ง่ายในพื้นที่แออัด ซึ่งผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ
กลุ่มเสี่ยงมีโอกาสติดเชื้อ
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี
- ผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
- ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ในระยะที่ 2 หรือ 3 หรือผู้หญิงหลังคลอด 2 สัปดาห์
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม
- ผู้ป่วยที่โรคประจำตัวหรือมีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต และโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น กินยากดภูมิต้านทาน เคมีบำบัด รังสีบำบัด หรือโรคที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่นโรคมะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคใกล้ตัว ซึ่งแพร่กระจายอยู่ทั่วไป ดังนั้นควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี ตรวจสอบว่าเข้าข่ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ เพื่อรักษาและป้องกันไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดเนประจำ
- ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว
- กินอาหารที่มีประโยชน์ กินอาหารปรุงสุกใหม่ และใช้ช้อนกลาง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำสะอาด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
- หลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสตา จมูก และปาก
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศไม่ถ่ายเท
- สวมหน้ากากอนามัย เมื่อไปในที่สาธารณะ
- หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด รวมถึงคนที่กินยากดภูมิคุ้มกัน ต้องดูแลสุขภาพ หากมีอาการควรรีบปรึกษาแพทย์
ไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์เมื่อใด
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์โดยทันที การใช้ยาต้านไวรัสจะช่วยให้หายป่วยได้เร็วขึ้นและป้องกันอาการไม่ให้ทรุดหนัก แต่ผู้ป่วยควรได้รับยาภายใน 48 ชั่วโมง หลังเริ่มป่วย ซึ่งจะได้ผลการรักษาที่ดีกว่าได้ยาหลัง 48 ชั่วโมง ไปแล้ว
วิธีการดูแลผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ กี่วันหาย
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่อาการไม่รุนแรง ปกติอาจจะมีอาการราว 7-10 วัน สามารถพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ โดยต้องดูแลตัวเองดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- แยกตัวเองและของใช้จากผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- ดื่มน้ำสะอาดให้มาก อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยฟื้นอาการไข้และช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
- กินยาลดไข้พาราซตามอลตามแพทย์แนะนำ (ห้ามกินยาแอสโพริน เพราะอาจทำให้เกิดตับอักเสบรุนแรง (Reye Syndrome) และโรคแทรกซ้อนทางสมองได้)
- รักษาสุขอนามัยของตนเอง อาทิ ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันต่าง ๆ เพราะจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น
การรักษาไข้หวัดใหญ่
การพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดใหญ่ หากผู้ป่วยยังมีอาการไม่มากและยังพอกินอาหารได้ ให้กินยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ พาราเซตามอล ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก พร้อมกับการเช็ดตัวลดไข้เป็นระยะด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณภูมิปกติ
ถึงแม้ว่าไข้หวัดใหญ่จะสามารถหายเองได้ แต่ถ้าหากละเลยไม่ใส่ใจ ก็อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต อีกทั้งยังเพิ่มการแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่น ดังนั้นหากมีอาการป่วยควรสังเกตและดูแลตัวเองให้ดี และควรปรึกษาแพทย์