กองปราบบุกจับหนุ่มเวียดนามสวมบัตรประชาชน เปิดธุรกิจรับจำนองที่ดินก่อนฮุบไปขาย

5 พ.ค. 66

กองปราบบุกจับหนุ่มเวียดนามสวมบัตรประชาชน เปิดธุรกิจรับจำนองที่ดินก่อนฮุบไปขาย เหยื่อแฉเอาที่ดินไปฝากขายแล้วโดนตุกติก ขึ้นโรงขึ้นศาล จนตนเองและแม่ชราถึงขั้นเคยถูกจับส่งเรือนจำมาแล้ว

วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 เวลา 11.00 น. พ.ต.ต.อธิรัตน์ ทิพย์เจริญ สว.กก.3บก.ป. ร.ต.ต.วิชาญ จ้อยเสนา รอง สวป.กก.3บก.ป. และ ด.ต.ประคอง พันระกา กก.3บก.ป.พร้อม ร.ต.ต.ทัศน์ชัย กุลศัตยาภิรมย์ รอง สว.ป.กก.6บก.ปปป. นำหมายจับศาลอุดรธานีเลขที่ จ.312/2565 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เข้าทำการจับกุมนายกิตตินันท์ สุนทราภิราม หรือ สตีเฟน อายุ 55 ปี โดยกล่าวหา “ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อให้ตนเองมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ, แจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรใหม่ แจ้งความอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหายและแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

ผู้ต้องหารับว่ามีชื่อตรงกับหมายจับแต่ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยจับกุมได้ที่บ้านพักในหมู่บ้านรุ่งเรืองนาดี ม.4 ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ก่อนส่งมอบผู้ต้องหาให้กับ น.ส.รัชนี นารินทรักษ์ ปลัดอำเภอเจ้าพนักงานปกครองชำนาญการหัวหน้าฝ่ายสถานะบุคคลและสัญชาติอำเภอเมืองอุดรธานี พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี

1683290219635

ขณะเดียวกัน น.ส.ลีลาวดี สมเสียง อายุ 53 ปี เจ้าของร้านอาหารลีลาวดี อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู คู่ความของนายกิตตินันท์ เดินทางมาที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี หลังติดตามสืบค้นข้อมูลและร้องเรียนไปหลายหน่วยงานว่านายกิตตินันท์เป็นคนต่างด้าว เชื้อสายเวียดนาม มาสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยแล้วมาประกอบอาชีพรังแกคนอื่น โดยมาแสดงตัวขอคัดค้านการประกันตัวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและให้ดำเนินคดีกับผู้ให้ที่พักพิงด้วย

น.ส.ลีลาวดี เปิดเผยว่าตนได้กู้เงินมาจากนายทุนเพื่อต่อเติมสร้างร้านอาหารลีลาวดีที่ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เป็นเงิน 450,000 บาท รวมดอกเบี้ยแล้วเป็น 1.1ล้านบาท ต่อมาปลายปี 57 รู้จักกับนายกิตตินันท์หรือสตีเฟนทำธุรกิจรับขายฝากที่ดิน ตนเลยเอาโฉนดแปลงแรกซึ่งเป็นที่ตั้งร้านไปขายฝากด้วยจะได้เป็นเจ้าหนี้แทน ต่อมาเอาโฉนดแปลงที่สองไปขายฝากเพื่อต้องการเงินอีก 1 ล้านบาท ในช่วงรอธนาคารอนุมัติเงินกู้ให้แต่เขาให้เงินเพียง 4 แสนบาท

1683290136289_1

นายกิตตินันท์ได้สร้างเจ้าหนี้ปลอมเพื่อต้องการเอาที่ดินของตน จนเวลาล่วงเลยหมดสัญญา 4 เดือนมีการพูดคุยกันจากหนี้รวม 2.3 ล้านบาท ตกลงกันจะจ่ายให้ 2.7 ล้านบาท ซึ่งธนาคารก็พร้อมจะให้กู้แล้ว แต่เขากลับเอาโฉนดไปขายให้นายทุนอีกคนที่เมืองอุดรธานี ตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินขายไปเพียง 1 ล้านบาทซึ่งน่าจะเป็นการอำพรางนายทุนคนนั้นฟ้องขับไล่ตนจากร้าน ตนและแม่ที่อายุมากแล้วถูกจับไปสถานีตำรวจ 3 ครั้ง ถูกจับส่งเข้าเรือนจำ 1 ครั้งนาน 7 วัน

น.ส.ลีลาวกล่าวต่อว่า สงสารแม่อายุมากแล้วถูกจับไปขังในเรือนจำนาน 7 วัน พอประกันตัวออกมาได้ก็ตั้งใจสู้คดี ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สู้ก็แพ้ ตอนนี้อยู่ในชั้นอุทธรณ์ ตนตั้งใจว่าจะสู้ทุกทางไม่ยอมแพ้ เมื่อมีคนมาบอกว่าเขาเป็นชาวเวียดนามจึงเริ่มเดินทางไปตามหาหลักฐาน จนชัดเจนว่าเขามีเชื้อสายเวียดนามและได้สวมบัตรประชาชนคนไทย จึงร้องเรียนให้ราชการตรวจสอบ จนอธิบดีกรมการปกครองก็ได้ทำหนังสือเพิกถอนจำหน่ายออกจากทะเบียนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

1683290166482

นายอาคม ชัยธวัชบูลย์ อายุ 55 ปี เปิดเผยว่าตนรู้จักกับนายกิตตินันท์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กอยู่ที่ จ.หนองคาย เป็นคนเวียดนามอพยพด้วยกัน คุณตาของตนได้สัญชาติไทยโดยถูกกฎหมาย ส่วนนายกิตตินันท์ก็เดินทางไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสกับครอบครัวจนโตแล้วก็เดินทางกลับมาประเทศไทยโดยตนได้มาร่วมลงทุนกับนายกิตตินันท์ทำธุรกิจรับขายฝากที่ดินเงินที่ลงทุนไปในที่ดิน 18 แปลง แต่ที่ดินติดมือขายไม่ได้แล้วเขาก็ถ่ายเทที่ดินไปให้กับนอมินีของเขา ทำให้ตนหมดเงินไปมากกว่า 8 ล้านบาท ทำให้เครียดโดนโกงจนพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับไป 90 เม็ด โชคดีที่ญาติส่งโรงพยาบาลทัน

นายวิมล สุรเสน นายอำเภอเมืองอุดรธานี เปิดเผยว่าเป็นคดีที่อำเภอเมืองอุดรธานีให้ปลัดอำเภอเป็นพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาล จ.อุดรธานี ออกหมายจับซึ่งผู้ต้องหามีภูมิลำเนาล่าสุดที่ จ.เชียงใหม่ ก็ส่งหมายจับไปตามขั้นตอน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางได้รับแจ้งเบาะแสที่อยู่ผู้ต้องหาจึงส่งเจ้าหน้าที่มาทำการจับกุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยวัฒน์ ธรรมวัฒน์ ปลัดอาวุโสเดินทางมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนด้วยตนเองที่ชั้น 2 อาคารที่ว่าการ อ.เมืองอุดรธานี ซึ่งใช้เวลามากกว่า 5 ชม. นายชัยวัฒน์ ชี้แจงว่าคดีนี้เราได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้ว เมื่อตำรวจสอบสวนกลางนำผู้ต้องหามาส่งเราก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ได้สอบปากคำผู้ต้องหาโดยมีทนายความมาด้วย เขาให้การปฏิเสธพร้อมสู้คดีและขอรับการประกันตัว ทางเราก็ตั้งหลักทรัพย์ไว้สูงเลข 7 หลักมีทั้งบุคคล, เงินสด และหลักทรัพย์อื่น ก็ให้ประกันตัวไปเพราะเชื่อว่าจะไม่หลบหนี

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส