
สำนักข่าว Anadolu Agency รายงานว่า เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดหวังให้รัฐบาลกัมพูชาและไทยเคารพต่อข้อตกลงสันติภาพระหว่างกันที่จัดทำขึ้นก่อนหน้านี้ หลังเกิดเหตุปะทะรุนแรงตามแนวชายแดนรอบใหม่ ซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อระบุว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งมั่นที่จะให้มีการยุติความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และคาดหวังให้รัฐบาลกัมพูชาและไทยเคารพอย่างเต็มที่ต่อพันธสัญญาของตนในการยุติความขัดแย้งนี้”
แถลงการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่การปะทะครั้งรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยไทยได้โจมตีทางอากาศตอบโต้อย่างเหมาะสมต่อการรุกรานของทหารกัมพูชา หลังทหารไทยเสียชีวิตอย่างน้อยหนึ่งนายและบาดเจ็บอีกหลายนาย ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศหลายเจ้ามองว่าเป็นการคุกคามต่อข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ลงนามกันในเดือนตุลาคมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ต่อหน้าทรัมป์และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้ออกมากล่าวถึงเหตุปะทะรอบใหม่ระหว่างไทยและกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ขณะที่ช่องทางประชาสัมพันธ์ทางการของทำเนียบขาวยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเหตุดังกล่าวเช่นกัน
แม้ในฝั่งของสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ แต่ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลต่อเหตุปะทะไทย-กัมพูชาตั้งแต่เมื่อวานนี้ (8 ธันวาคม 2568) ระบุว่า เขารู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อรายงานเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองกำลังกัมพูชาและไทยตามแนวชายแดน พร้อมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ
เขาโพสต์เพิ่มเติมว่า ไทยและกัมพูชาเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของมาเลเซีย และเป็นสมาชิกสำคัญของอาเซียน พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความอดกลั้นสูงสุดรวมถึงรักษาช่องทางการสื่อสารให้เปิดกว้าง และใช้กลไกที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเต็มที่ โดยมาเลเซียพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทุกขั้นตอนที่สามารถช่วยฟื้นฟูความสงบและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เพิ่มเติม
นายอันวาร์ยังกล่าวในฐานะประธานอาเซียนประจำปีนี้ โดยเน้นย้ำว่า อาเซียนไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงที่จะเห็นข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมานานเข้าสู่วังวนของการเผชิญหน้าได้ ลำดับความสำคัญเร่งด่วนที่สุดคือ การยุติการสู้รบ การปกป้องพลเรือน และการกลับมาใช้วิธีทางการทูต ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกฎหมายระหว่างประเทศและจิตวิญญาณแห่งความเป็นเพื่อนบ้านของประชาคมอาเซียน