ข่าวเศรษฐกิจ

ขยายเพดานหนี้!อัดงบเพิ่มดูแลเกษตรกร-เศรษฐกิจ

24 พ.ย. 64
ขยายเพดานหนี้!อัดงบเพิ่มดูแลเกษตรกร-เศรษฐกิจ

 

ขยายเพดานหนี้ หางบดูแลเกษตรกรและเศรษฐกิจ

24.พ.ย.64 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ระบุจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเรื่องการหาเงินมาจ่ายให้กับเกษตรผู้ปลูกข้าวตามนโยบายการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวตามนโยบายของรัฐบาล โดยในการดำเนินการจ่ายเงินให้กับชาวนาต้องมีการขยายเพดานหนี้ในมาตรา 28 ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของภาครัฐ ในส่วนการก่อหนี้ภาครัฐต่อสัดส่วนงบประมาณ จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 30% เป็น 35% เป็นเวลาชั่วคราว 1 ปี

 .

หากมีการขยายเพดานหนี้แล้ว จะส่งผลให้มีสัดส่วนที่ภาครัฐจะก่อหนี้เพิ่มอีกประมาณ 1.55 แสนล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอต่อการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในโครงการประกันรายได้ชาวนา รวมทั้งได้เตรียมแนวทางการขอใช้งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน 2565 ในการสนับสนุนโครงการบางส่วนด้วย

 .

ทั้งนี้จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้การแก้ไขเพดานหนี้ตามมาตรา 28 มีผลอย่างเป็นทางการและในสัปดาห์หน้า คณะรัฐมนตรีจะมีการพิจารณา (ครม.) อนุมัติวงเงินในส่วนการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในส่วนที่เหลือ และคาดว่าเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะได้เงินภายในเดือน ธ.ค.นี้

 .

นายกฯมีความเป็นห่วงว่าการได้เงินของชาวนาจะขาดช่วง จึงเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งที่ผ่านมายังไม่สามารถอนุมัติได้เพราะวงเงินตามมาตรา 28 เหลือแค่ประมาณ 5300 ล้านบาทเท่านั้น แต่เมื่อมีการขยายสัดส่วนวงเงินแล้วการอนุมัติจะไม่ช้า และเกษตรกรจะได้เงินภายในเดือน ธ.ค.นี้"ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีการอนุมัติจ่ายเงินงวดแรกไปประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และคงเหลือวงเงินที่ต้องจ่ายตามโครงการอีกประมาณ  8 - 9 หมื่นล้านบาท

.

ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการรอบใหม่ต้นปี 2565

รมว.คลัง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เปิดเผยว่า รัฐบาลจะเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ในต้นปี 65 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนผ่านการใช้เม็ดเงินเพื่อเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ถือเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อพยุง และประคองให้เศรษฐกิจไทยยังพอเติบโตได้บ้าง แม้ว่าจะเติบโตไม่ได้เต็มที่ก็ตาม

 

"การกู้เงินเพื่อเยียวยาประชาชนนั้น ถือเป็นการช่วยเหลือแบบเฉพาะหน้า แต่เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น การสร้างเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวและเดินหน้าต่อได้เป็นเรื่องสำคัญ การช่วยให้คนมีงานทำ มีรายได้เป็นของตัวเองเป็นสิ่งที่ต้องดำเนิน เมื่อส่วนนี้เดินหน้าได้ การเยียวยาและช่วยเหลือก็ต้องลดลง แต่หันไปเน้นในเรื่องการแบ่งเบาภาระให้ประชาชนเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการผ่านมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่คาดว่าจะมีการเปิดลงทะเบียนใหม่ในช่วงต้นปีหน้า"

 

รมว.คลัง กล่าวว่าในช่วงปี 63-64 รัฐบาลมีการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจยังพอมีรายได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้ภาพรวมการบริโภคภาคประชนในปีนี้เติบโตได้ที่ 1.6% สะท้อนว่านโยบายด้านการคลังเปิดช่องให้มีการใช้จ่ายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ในปี 65 จะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ตามวิถี

 

อย่างไรก็ตาม การกู้เงินเพื่อใช้ดูแลและเยียวยาประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ของรัฐบาลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลก็ได้มีการขยับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 60% ต่อจีดีพี เป็น 70% ต่อจีดีพี เพื่อเปิดช่องให้รัฐบาลมีช่องในการบริหารด้านคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จะทำแบบสุดโต่งเกินไปก็คงไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นความน่าเชื่อถือของประเทศ

 

ผู้ว่าแบงค์ชาติแนะต้องประสานนโยบายการเงิน-การคลังให้เหมาะสม

ด้าน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท.บอกว่า  ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญภาวะการระบาดของโควิด-19 การดำเนินนโยบายต่าง ๆ แบบไร้ขีดจำกัดจำมีผลข้างเคียง ดังนั้นมองว่า การประสานระหว่างนโยบายด้านการเงินและด้านการคลังเป็นเรื่องสำคัญ โดยนโยบายด้านการคลังมีจุดแข็งในเรื่องให้ผลเร็ว ตรงจุด ขณะที่นโยบายด้านการเงิน ต้องใช้เวลาในการส่งผ่านไปยังระบบ และให้ผลไม่ตรงจุด ซึ่งการใช้จุดแข็งของแต่ละนโยบายมาดำเนินการจะทำให้เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ที่สุด

.

นอกจากนี้ การทำนโยบายต้องมีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติด สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ แต่ต้องทำแล้วเห็นผลได้จริง ส่วนมาตรการทำมาตรการ QE นั้น ต้องยอมรับว่าไม่เหมาะกับบริบทและไม่ตอบโจทย์กับประเทศไทย เนื่องจากมาตรการจะส่งผลดีกับผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างหนักจะไม่ได้รับประโยชน์จากการทำ QE

.

"โจทย์สำคัญของการทำนโยบายเศรษฐกิจ คือ ต้องทำอย่างไรให้การฟื้นตัวไม่สะดุด ตลาดการเงินไม่เกิดปัญหาทั้งในด้านความสามารถการชำระหนี้ และหนี้เสียไม่เพิ่มขึ้น ทุกอย่างต้องสมูทที่สุด ตรงจุด เพื่อช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่อาจจะฟื้นตัวล่าช้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจขาล่าง โดยมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญของนโยบายการคลัง ส่วนนโยบายการเงินจะต้องมีการทำงานที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวในส่วนดังกล่าวด้วย โดยต้องยอมรับว่านโยบายการคลังยังเป็นพระเอกในการกอบกู้เศรษฐกิจขาล่าง เพราะแรงและตรงจุด โดยในปี 63 เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ 6% แต่หากไม่มีนโยบายการคลัง ไม่มีการกู้เงินมาช่วยจะเห็นเศรษฐกิจติดลบถึง 9% ส่วนปี 64 คาดว่าจะโตได้ 0.7% แต่ถ้าไม่มีนโยบายการคลังจะเห็นเศรษฐกิจติดลบ 4% เช่นเดียวกับปีหน้า โดยเบ็ดเสร็จพบว่าในช่วง 3 ปี (63-65) นโยบายการคลังจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจโตเพิ่มได้ 10.8%"

.

 

ผู้ว่าธปท. บอกถึง สัญญาณเตือนภัยที่น่าจับตามองสำหรับเศรษฐกิจไทย คือ การฟื้นตัวที่คาดว่าจะช้าและไม่เท่าเทียมกัน โดยประเมินว่าจะได้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ไทยกลับมาเติบโตใกล้เคียงระดับก่อนการระบาดได้ในปี 66 แต่ก็ยังเป็นการฟื้นตัวเชิงตัวเลขเท่านั้น ขณะที่ความรู้สึกของคนทั่วไปจะไม่รู้สึกว่าฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน และรายได้ของคนจะฟื้นตัวช้ากว่าตัวเลขจีดีพี เพราะไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว ที่แม้ปัจจุบันจะมีการเปิดประเทศแล้ว แต่ก็มองว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 6 ล้านคนตามที่คาดการณ์ ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ก็ยังเป็นความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นแม้หลายฝ่ายหวังว่าการเปิดประเทศจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เป็นการดีแบบไม่ทั่วถึง

.

 

สำหรับปัญหาเรื่องแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาดการณ์ จนทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าธนาคารกลางของกลุ่มประเทศหลักจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนนั้น ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ ธปท. จับตามอง และไม่ชะล่าใจ แม้ว่าจะไม่เป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจไทยก็ตาม เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของโลกนั้นยังไม่น่าสูงมาก เพราะการลงทุนของต่างชาติไม่มีน้ำหนักมากนักในตลาดพันธบัตรไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาค ดังนั้นแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะมีการปรับตัวสูงขึ้น โอกาสที่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยปรับขึ้นเร็วและแรงก็ไม่น่าจะเห็น หรือหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง ผลที่ส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจจริงก็ไม่น่าสูงมาก

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT