ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีมติปรับประมาณเศรษฐกิจไทยในปี 65 ลงเหลือ 2.75-3.5% จากเดิม 2.5-4.0% ที่เคยคาดการณ์ไวในเดือน มิ.ย. สาเหตุจากอัตราเงินเฟ้อไทยสูง 5-7% กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
"ความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ที่ประชุม กกร. ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.7-3.5% จากกรอบเดิมที่ 2.5-4.0% ขณะที่ปรับเพิ่มประมาณการมูลค่าการส่งออกเป็นขยายตัวในกรอบ 5-7% และปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็น 5-7% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป และค่าเงินบาทที่มีการอ่อนค่าลงมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้เดิม"นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าว
เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งปีหลัง
นายผยง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางความเสี่ยงที่รุมเร้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนและความสามารถในการบริหารต้นทุนของภาคการผลิต ขณะที่ต้นทุนทางการเงินกำลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ดังนั้น เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ในช่วงครึ่งหลังของปี หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และผลกระทบต่อราคาพลังงานยังไม่มีคลี่คลาย
นอกจากนั้น เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างมากจากนโยบาย zero covid policy และอาจฟื้นตัวได้ช้า แม้รัฐบาลจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งหมดนี้ทำให้ภาคการส่งออกของไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
เงินเฟ้อไทยสูง 5- 7% กดดันเศรษฐกิจไทย
อัตราเงินเฟ้อในระดับสูงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าการท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศจะฟื้นตัวได้ดีถึงระดับกว่า 80% ของภาวะปกติในช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีแรงส่งเพิ่มเติมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากช่วงครึ่งปีแรก แต่จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงในระดับ 6-8% ในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนลดลง และต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการเงินในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย
กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนใน 3 ด้าน
- ขอให้เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่การใช้จ่ายของครัวเรือนอ่อนแอ จากภาวะเงินเฟ้อสูง
- ขอให้พิจารณาปรับราคากลางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของผู้ประกอบการที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานหรือด้านงานบริการกับภาครัฐ เนื่องจากต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ มีการปรับราคาสูงขึ้นกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้มาก ทั้งนี้ เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
- ขอให้ภาครัฐอำนวยความสะดวกธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง เช่น การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งคาดหมายว่าหากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้