ยุโรปเอาจริง เร่งเครื่องมุ่งสู่ภูมิภาคสีเขียวปลอดมลพิษ มติรัฐสภายุโรปเกินครึ่ง โหวตแบนการจำหน่ายรถยนต์และรถตู้เครื่องยนต์สันดาปตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐสภายุโรปมีมติเห็นชอบห้ามจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ประเภทรถยนต์โดยสาร (Passenger cars) และรถบรรทุกขนาดเล็ก (Light commercial vehicles, LCV) ด้วยมติเห็นชอบ 339 เสียงต่อ 249 เสียง งดออกเสียง 24 เสียง ซึ่งแผนดังกล่าวเสนอโดยคณะกรรมาธิการยุโรป
สำหรับรถ LCV ที่ประเทศยุโรปนั้น ส่วนมากมักหมายถึงรถตู้และรถบรรทุกขนาดเล็ก ใช้ในการขนส่งสินค้าน้ำหนักไม่เกิน 3.5 ตัน ในขณะที่บ้านเรานิยมใช้รถกระบะในการขนส่งสินค้าเป็นหลัก
สหภาพยุโรปมีเป้าหมายในการลดการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นจาก รถยนต์โดยสารที่ออกจำหน่ายใหม่ และรถบรรทุกขนาดเล็กให้ได้ 100% ภายในปี 2035 (เมื่อเทียบฐานของปี 2021) โดยมีเป้าหมายในการลดมลพิษที่เกิดจากรถตู้ให้ได้ 50% และลดมลพิษที่เกิดจากรถยนต์ให้ได้ 55%
อ้างอิงจากถ้อยแถลงของคณะกรรมาธิการยุโรป การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์และรถตู้นั้น คิดเป็น 12% และ 2.5% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดในยุโรป โดยสมาชิกรัฐสภา จะเริ่มหารือถึงแผนการดังกล่าวร่วมกับ 27 ประเทศสมาชิกต่อไป
แม้สหราชอาณาจักรจะออกจากการเป็นสมากชิกสหภาพยุโรปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2020 แต่ก็มีเป้าหมายที่คล้ายคลึงกันคือ ยุติการจำหน่ายรถโดยสารส่วนบุคคลและรถตู้ประเภทเครื่องยนต์สันดาปให้ได้ภายในปี 2030 และลดการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียให้กลายเป็น 0 ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป
สำหรับความเห็นต่อมติดังกล่าวจากฝั่งรัฐสภา นาย Jan Huitema สมาชิกรัฐสภายุโรปจากเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่าตนรู้สึกยินดีกับการมติสนับสนุนที่เกิดขึ้น ที่จะช่วยนำไปสู่เป้าหมายใหญ่ในเรื่องความเป็นกลางในการปล่อยมลพิษ (ปริมาณที่ปล่อย = ปริมาณที่ดูดซับ) ได้ภายในปี 2050
ด้านความเห็นจากฝั่งผู้ประกอบการ มีความกังวลต่อมติดังกล่าว นาย Oliver Zipse ประธานสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป และ CEO ของ BMW มองว่าแม้อุตสาหกรรมยานยนต์จะกำลังมุ่งสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า มีรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ๆ ส่งออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่แน่นอนของโลกดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มาตราการใดๆ ที่มีผลครอบคลุมเกินระยะเวลาทศวรรษนี้อาจยังไม่เหมาะสมนัก รัฐสภาควรประเมิณใหม่อีกครั้งหลังจากบังคับใช้แผนไประยะหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นบริบทหลังปี 2030 ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
กล่าวว่า อุตสาหกรรมของเขาอยู่ท่ามกลางแรงผลักดันในวงกว้างจากรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีรถรุ่นใหม่เข้ามาเรื่อย ๆซึ่งเขามองว่า ด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่ทั้งโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนั้น ยังเร็วไปที่จะสร้างกฎเกณฑ์ใด ๆ มาบังคับใช้ในระยะยาวเกินทศวรรษนี้
ที่มา CNBC, รัฐบาลสหราชอาณาจักร