ข่าวเศรษฐกิจ

เช็คสภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

15 พ.ค. 65
เช็คสภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง   ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน
ไฮไลท์ Highlight
"ดังที่ได้เขียนไว้ในบทความที่แล้ว "นับถอยหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก" ผู้เขียนเชื่อว่าในปีหน้า เศรษฐกิจโลกจะเผชิญวิกฤต อันเป็นผลจากเงินเฟ้อที่สูงและลากยาว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น โดยจากแบบจำลองของผู้เขียน คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจนสุดที่ประมาณ 2.75-3.00% ในต้นปีหน้า ก่อนที่จะเกิดความผันผวนรุนแรงในตลาดการเงินโลกจนในที่สุด Fed จะต้องยุติการขึ้นดอกเบี้ยและปรับลดลง แต่เศรษฐกิจก็จะยังชะลอต่อไปจนเกิดวิกฤตในไตรมาส 2 ปี 2024" 

เช็คสภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บ. หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด

 

คลื่นลมทะเลที่เย็นสบายบนเกาะภูเก็ต ช่างแตกต่างกับความเป็นจริงในโลกเศรษฐกิจการเงินที่ผู้เขียนจากมาเป็นยิ่งนัก เพราะในตลาดการเงินโลก ในไทยหรือแม้แต่ในโลกคริปโตเอง เริ่มเห็นความปั่นป่วนที่เทียบเคียงได้กับช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤต Covid หรือแม้แต่วิกฤตต้มยำกุ้งเอง ในฝั่งโลกความเป็นจริง ข้าวของที่แพงขึ้นทั่วโลก สถานการณ์ขาดแคลนอาหารและพลังงานจนนำมาสู่การประท้วงในหลายประเทศ เช่น ในศรีลังกา หรืออิหร่าน สงครามและความแร้นแค้นในยูเครน รวมถึงวิกฤตผู้อพยพในยุโรปตะวันออก ภาพเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงความเสี่ยงวิกฤตเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

"ดังที่ได้เขียนไว้ในบทความที่แล้ว "นับถอยหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก" ผู้เขียนเชื่อว่าในปีหน้า เศรษฐกิจโลกจะเผชิญวิกฤต อันเป็นผลจากเงินเฟ้อที่สูงและลากยาว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น โดยจากแบบจำลองของผู้เขียน คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจนสุดที่ประมาณ 2.75-3.00% ในต้นปีหน้า ก่อนที่จะเกิดความผันผวนรุนแรงในตลาดการเงินโลกจนในที่สุด Fed จะต้องยุติการขึ้นดอกเบี้ยและปรับลดลง แต่เศรษฐกิจก็จะยังชะลอต่อไปจนเกิดวิกฤตในไตรมาส 2 ปี 2024" 000_327466f

 

แม้ว่าแบบจำลองจะมองว่าวิกฤตจะเกิดในอีก 1-2 ปีข้างหน้า แต่ในภาคส่วนเศรษฐกิจโลกอื่น ๆ ความเสี่ยงมีมากขึ้น ดยในยุโรป ความเสี่ยงสงครามมีแนวโน้มลากยาวมากขึ้นหลังจากประธานาธิบดีปูตินกล่าวสุนทรพจน์ใน V-day โดยกล่าวว่ารัสเซียพร้อมต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนมาตุภูมิ บ่งชี้ว่ารัสเซียจะยังพร้อมต่อสู้เพื่อครอบครองยูเครนที่มองว่าเป็นดินแดนเดียวกับรัสเซีย สอดคล้องกับ ผอ. หน่วยข่าวกรองกลาโหมสหรัฐที่มองว่าสงครามมีแนวโน้มรุนแรงในระยะถัดไป

 

ด้านเศรษฐกิจจีนความเสี่ยงมีมากขึ้นจากการ Lockdown เซี่ยงไฮ้ที่ยาวนานเข้าสู่เดือนที่สอง ท่ามกลางผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่มากขึ้นโดยเฉพาะประเด็นด้าน Supply chain โดยล่าสุด ผอ. องค์การสาธารณสุขโลกหรือ WHO ได้ออกมาพูดว่านโยบาย Covid zero ของจีนไม่สามารถทำได้ในระยะยาว แต่รัฐบาลจีนยังคงยืนกรานทำต่อ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเศรษฐกิจจีนจะตกต่ำต่อเนื่อง โดยล่าสุดการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักวิจัย Bloomberg พบว่านักเศรษฐศาสตร์มองว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะขยายตัวได้ 4.9% ต่ำกว่าที่่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 5.5%

 

จีนคุมเข้มนโยบายโควิด
จีนคุมเข้มนโยบายโควิดเป็นศูนย์


ในส่วนของผู้เขียนเอง เชื่อว่าจีนจะยังคงทำนโยบาย Covid zero อย่างต่อเนื่อง จนกว่าการสถาปนาขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ของสีจิ้นผิงสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะทำให้จีนต้องปิด ๆ เปิด ๆ เศรษฐกิจหากเริ่มมีการแพร่ระบาดของ Omicron ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจในประเทศต่อเนื่อง โดยล่าสุดการส่งออกของจีนชะลอลงมาก เหลือเพียง 3% จากระดับ 10-20% ในช่วงที่ผ่านมาด้วยภาพดังกล่าว จะทำให้วิกฤตในประเทศตลาดเกิดใหม่มีมากขึ้น รวมถึงไทยเองมีมากขึ้น

 

เศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว 

ในส่วนของชีพจรเศรษฐกิจไทยเอง ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนล่าสุด (มี.ค.) เริ่มมีทิศทางชะลอลงแล้ว ทั้งการบริโภคที่ชะลอจากการระบาดของ Omicron ระลอกใหม่ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น กระทบต่อการจับจ่ายสินค้าคงทนและกึ่งคงทน (ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในระดับหนึ่ง เพราะประชาชนต้องนำเงินมาใช้จ่ายสินค้าจำเป็นมากขึ้น) ในส่วนของการลงทุนเริ่มชะลอทั้งการลงทุนด้านการก่อสร้างและด้านเครื่องมือเครื่องจักร ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มหดตัว จากปัญหา Supply Chain และความต้องการในตลาดโลกเริ่มชะลอลง ขณะที่ภาคบริการเริ่มชะลอลงจากภาคการค้า แต่นักท่องเที่ยวยังขยายตัวดี คนเริ่มกลับมามีงานทำบ้าง แต่ความเสี่ยงในระยะต่อไปคือเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากอย่างรวดเร็วจากสงคราม และนโยบายการเงินของ Fed ที่ตึงตัว

 

ภาพพัฒนาการเศรษฐกิจของโลกและไทยที่แย่ลง ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องปรับสมมุติฐานเศรษฐกิจใน 6 ประเด็น ได้แก่

(1) สงครามยูเครน โดยคาดว่าจะยุติกลางปีถึงปลายปี (หรือเลวร้ายสุดคือไม่ยุติในปีนี้) จากที่เคยคาดว่าจะยุติภายใน 1-2 เดือน

(2) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ มองว่าราคาจะเฉลี่ยที่ 100-120 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ จากที่เคยมองที่ 80 ดอลลาร์

(3) การตรึงราคาดีเซลของกองทุนน้ำมัน มองว่าราคาดีเซลในปีนี้จะเฉลี่ยที่ 35-38 บาท จากที่เคยมองว่าจะอยู่ที่ 30 บาท

(4) ค่าแรงขั้นต่ำ มองว่าจะปรับขึ้นเป็น 360-400 บาทในครึ่งปีหลัง จากที่เคยมองว่าจะคงที่ 310-336 บาทต่อวัน

(5) การส่งออก มองว่าจะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 6% จากปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากที่เคยมองว่าจะขยายตัวที่ 2%  

(6) นักท่องเที่ยว ยังมองว่าจะขยายตัวที่ 8 ล้านคน (แต่มีความเสี่ยงลดลงได้ถึง 4 ล้านคน) 

(7) ค่าเงินบาท มองว่าอาจอยู่ในระดับ 33-35 บาทได้

 

ด้วยภาพดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ประมาณ 2.9-3.4% ในปีนี้ ชะลอลงจากที่เคยคาดไว้ที่ 3.6% โดยภาคเศรษฐกิจในประเทศจะชะลอลง ขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศอาจดีขึ้นบ้างกว่าที่เคยคาดไว้ (ส่งออกของไทยไตรมาสแรกขยายตัวกว่า 15%) แต่ความเสี่ยงก็มากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก (สะท้อนจากตัวเลขส่งออกจีนที่่เริ่มลดลงมาก)

 

"ภาพดังกล่าวทำให้ธีมเศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนไป จากที่เคยคาดว่าจะเป็น 2-4-4-8 (การส่งออกโต 2% การบริโภคโต 4% เศรษฐกิจโตเกือบ 4% และนักท่องเที่ยว 8 ล้านคน) เป็นธีม 6-3-3-8 โดยการส่งออกโต 6% จากการเปิดเมือง ขณะที่การบริโภคในประเทศอาจเหลือ 3% โดยถูกกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ Covid zero ในจีน (ที่กระทบต่อภาคการผลิตและส่งผ่านสู่ผู้บริโภค) โดยการบริโภคในภาพใหญ่อาจไม่ชะลอลงมากนัก แต่ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อคนรากหญ้าที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คืออาหารและการเดินทางมากกว่า ส่วนเศรษฐกิจโดยรวมหรือ GDP โตประมาณ 3% ขณะที่นักท่องเที่ยวยังให้ที่ 8 ล้านคน โดยมองว่าไตรมาส 2-4 จะมีนักท่องเที่ยวที่ 1.5, 2 และ 4 ล้านคนตามลำดับ"

 

ทั้งนี้ ผู้เขียนมีความกังวลในประเด็นเงินเฟ้อ โดยปัจจุบัน แม้เงินเฟ้อเดือน เม.ย. เริ่มชะลอตัว แต่หากพิจารณา Momentum ของเงินเฟ้อแล้ว พบว่าเห็นสัญญาณการกระจายตัวของเงินเฟ้อมากขึ้น โดยเงินเฟ้อจากอาหารและการเดินทาง (ที่มีราคาน้ำมันเป็นองค์ประกอบสำคัญ) มีสัดส่วนน้อยลงในองค์ประกอบเงินเฟ้อ บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อกระจายตัวเข้าสู่หมวดอื่น ๆ มากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คือ เงินเฟ้อเริ่มลาม จากแค่ราคาอาหารสดและน้ำมัน ไปสู่ภาคส่วนอื่น ๆ มากขึ้น

 

ของแพง


ในระยะต่อไป ผู้เขียนกังวลมากขึ้นว่าต้นทุนการผลิตจะเป็นตัวดึงเงินเฟ้อผู้บริโภคขึ้น ทั้งราคาวัตถุดิบและค่าจ้างขั้นต่ำที่ต้องปรับเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับในปี 2006 และ 2008 เนื่องจากผู้ผลิตแบกรับต้นทุนไม่ไหว และหากค่าจ้างมีการปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย จะเกิดภาวะ Wage-price spiral ดังเช่นในช่วง 2 ปีข้างต้นที่ราคาน้ำมันดีเซลถูกปรับขึ้นก่อน (ไปอยู่ระดับ 44 บาทต่อลิตร) แล้วทำให้ลูกจ้างต้องเรียกร้องค่าจ้างขึ้น ทำให้ค่าจ้างขยายตัวถึง 25% และนำไปสู่เงินเฟ้อที่่ระดับ 9%

 

นอกจากนั้น ผู้เขียนยังกังวลประเด็นดอกเบี้ยนโยบาย โดยในปัจจุบัน เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นทั่วเอเชีย และค่าเงินเอเชียที่อ่อนค่าลงมากทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม Fed แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฮ่องกง (ที่ปัจจุบันเริ่มถูกโจมตีค่าเงิน) และนิวซีแลนด์ ทำให้ผู้เขียนมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก โดยถ้าไทยไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม ก็จะเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาเงินทุนไหลออก แต่หากปรับขึ้น ก็จะยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางในปัจจุบัน

 

วิกฤตรอบด้านทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น ผู้อ่านทั้งหลาย โปรดระมัดระวัง

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT