ข่าวเศรษฐกิจ

ความเชื่อมั่น ทรุดรอบ 5 เดือน ผู้บริโภค ผวาโอมิครอน ลามกระทบเศรษฐกิจ

10 ก.พ. 65
ความเชื่อมั่น ทรุดรอบ 5 เดือน  ผู้บริโภค  ผวาโอมิครอน  ลามกระทบเศรษฐกิจ

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ม.ค. ทรุดครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ผวาโอมิครอนระบาด ลามกระทบเศรษฐกิจ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเร่งสูงขึ้นต่อเนื่อง รัฐบาลกลับมาเปิดประเทศใช้ Test&Go

 

 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิบการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ม.ค. 2565 อยู่ที่ระดับ 44.8 จากเดือน ธ.ค.2564 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 46.2 โดยถือเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความวิตกกังวลมากเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศไทย จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่อาจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน แม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันในประเทศไทยจะเริ่มมีแนวโน้มลดลง


รวมถึงการกลับมาใช้มาตรการเปิดประเทศภายใต้ระบบ Test&Go อาจส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นลดน้อยลง และระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงไร

 


“เดือนก.พ. กลุ่มตัวอย่างอาจจะมีความกังวลมากขึ้น จากทั้งสถานการณ์ระบาดของโอมิครอน และปัญหาราคาสินค้าแพง โดยเฉพาะราคาหมู และราคาน้ำมัน ต้องรอดูว่าความเชื่อมั่นจะทรุดลงไปมากหรือไม่ เพราะก็ยังมีปัจจัยบวกที่อาจจะช่วยหนุนไว้ คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่กลับเข้ามา โดยเฉพาะคนละครึ่ง เฟส 4 และการกลับมาเปิด Test&Go ได้อีกครั้ง” นายธนวรรธน์ กล่าว


อย่างไรรก็ดี ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ จะยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 โดยยังคงไว้ตามเดิมที่ 3.5-4% ซึ่งมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่สามารถคลี่คลายลงได้ภายในเดือนมี.ค. และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาหลังการเปิดระบบ Test&Go อีกครั้ง

 


สำหรับ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น เชื่อว่าเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวจากผลกระทบของราคาสินค้าและราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อของไทยในช่วงครึ่งปีแรก ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2.5-3.5% รวมทั้งต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนว่าจะมีแนวโน้มคลี่คลายลงหรือไม่ เพราะถ้าคลี่คลายได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่สูงเกินไปกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่หากไม่สามารถคลี่คลายได้ อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงไปถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่ส่งผลกระทบทางจิตวิทยา


นายธนวรรธน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการรถบรรทุกจะปรับขึ้นราคาค่าขนส่งอีก 20% ว่า ปกติแล้วต้นทุนค่าขนส่งจะมีสัดส่วน 15-20% อยู่ในราคาสินค้า ดังนั้นหากผู้ประกอบการจะขอปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 20% ก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น 3-4% แต่หากปรับขึ้นค่าขนส่ง 10% จะทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น 1-2%


“อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น และเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ และจะไม่เป็นแรงกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะคาดว่าทั้งปี อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%” นายธนวรรธน์ กล่าว

 


สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาลนั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า หากจะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การยุบสภา ก็มองว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้ และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจแต่อย่างใด เพียงแต่คนจะติดตามว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล และดูความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาลในด้านต่างๆ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ การชุมนุมประท้วงนอกสภา ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้นั้น ก็อาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้มากกว่า

 



“ถ้าจะยุบสภาในไตรมาส 1 และมีการเลือกตั้งตามมา ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลในด้านลบต่อระบบเศรษฐกิจ สิ่งที่น่ากังวล และกระเทือนต่อเศรษฐกิจมากกว่า คือ การชุมนุมประท้วงนอกสภา จนนำไปสู่ความรุนแรง และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่หลายคนไม่คาดมาก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น” นายธนวรรธน์ กล่าว

 

 

ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันที่ 10 ก.พ. 2565 พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 14,822 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 14,576 ราย, ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 246 ราย ส่วนเสียชีวิต 20 ราย โดยมีผู้ป่วยสะสม 322,438 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565)

 

ด้านกรมควบคุมโรครายงายงานผลตรวจ ATK วันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อเข้าข่ายเพิ่มขึ้นอีก 7,754 ราย รวมยอดสะสม 482,772 คน



advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT