ข่าวเศรษฐกิจ

งบประมาณปี 66 กู้ต่อ! ทำหนี้รัฐแตะ 9.90 ล้านล้านบาท แต่ยังบริหารจัดการได้

13 ม.ค. 65
งบประมาณปี 66 กู้ต่อ! ทำหนี้รัฐแตะ 9.90 ล้านล้านบาท   แต่ยังบริหารจัดการได้
ไฮไลท์ Highlight
"อย่างไรก็ดีระดับการขาดดุลดังกล่าวยังคงอยู่สูงกว่าในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และจะมีผลต่อแผนการก่อหนี้ของภาครัฐในช่วงไตรมาสที่ 4/2565 ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ยอดคงค้างหนี้ในประเทศของภาครัฐในปี 2565 (ตามปีปฏิทิน) มีโอกาสแตะระดับ 9.90 ล้านล้านบาท หรือขยับขึ้นประมาณ 1.50 ล้านล้านบาทจากยอดคงค้างฯ ในปี 2564 ในจำนวนนี้หลักๆ น่าจะเป็นการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วเงินคลังมากขึ้น"

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินลผลพวงจากงบประมาณปี 2566 ที่ขาดดุลอยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้ยอดคงค่งหนี้ในประเทศภาครัฐอยู่ในระดับสูงที่ 9.90 ล้านล้านบาท แต่เชื่อว่ายังมีวิธีบริหารจัดการได้

 

14 ม.ค.65 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จากวงเงินงบประมาณปี 2566 ที่ครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อ 4 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา สะท้อนว่า รัฐบาลไทยยังคงทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องในปี 2566 ที่ 6.95 แสนล้านบาท ลดลงจากยอดขาดดุลประมาณ 7.0 แสนล้านบาทในปีงบฯ 2565

"อย่างไรก็ดีระดับการขาดดุลดังกล่าวยังคงอยู่สูงกว่าในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และจะมีผลต่อแผนการก่อหนี้ของภาครัฐในช่วงไตรมาสที่ 4/2565 ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ยอดคงค้างหนี้ในประเทศของภาครัฐในปี 2565 (ตามปีปฏิทิน) มีโอกาสแตะระดับ 9.90 ล้านล้านบาท หรือขยับขึ้นประมาณ 1.50 ล้านล้านบาทจากยอดคงค้างฯ ในปี 2564 ในจำนวนนี้หลักๆ น่าจะเป็นการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วเงินคลังมากขึ้น"

แต่ผลกระทบต่อระดับสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรไทยในภาพรวมจะยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากคาดว่า ธปท. จะปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรของธปท. ในปี 2565 ลง และไถ่ถอนพันธบัตรบางส่วน ซึ่งจะส่งผลทำให้ยอดคงค้างพันธบัตรของธปท. มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 อีก 0.55 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 2.38 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยปล่อยสภาพคล่องคืนกลับเข้าสู่ตลาด และเปิดพื้นที่ให้กับปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามแผนการกู้เงินเพื่อรองรับมาตรการฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด-19

แม้ว่าจะมีแนวทางช่วยบรรเทาผลกระทบต่อระดับสภาพคล่องในตลาดพันธบัตร แต่ถึงอย่างนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจขยับขึ้นในปี 2565 จากผลของ 2 ปัจจัย ได้แก่

  1. ทิศทางขาขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
  2. ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลไทยที่จะภาครัฐมีแผนจะออกเพิ่มขึ้น

โดยคาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี จากระดับ 0.66% เป็น แตะ 0.80% และอายุ 10 ปีจาก 1.90% เป็น 2.20% ณ สิ้นปี 2564

การขยับสูงขึ้นต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย มีผลกระทบต่อเนื่องมายังงบกำไรขาดทุนของระบบธนาคารพาณิชย์ ผ่านผลของการ mark to market มูลค่าพันธบัตรธปท. และพันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารพาณิชย์ถือครองอยู่ โดยปัจจุบัน น่าจะมียอดคงค้างรวมที่ประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท สำหรับผลต่อสภาพคล่องในระบบนั้น คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยการกู้เพิ่มของภาครัฐจะทำให้มีการทยอยใช้สภาพคล่องในระบบ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2565 ยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสขยับขึ้นเล็กน้อย (แม้ว่าขนาดการปรับขึ้นอาจจะไม่สูงเท่ากับในปี 2564) เนื่องจากสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อาจเติบโตในกรอบที่จำกัด

ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ที่โควิด-19 ยังยืดเยื้อน่าจะทำให้ยังคงมีการกอดสภาพคล่องในรูปเงินฝากอยู่ โดยธนาคารพาณิชย์น่าจะยังไม่รีบระดมเงินฝาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และน่าจะไม่เร่งออกตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ (ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุน) เพิ่มขึ้น เพราะได้มีการเตรียมออกไว้แล้วตั้งแต่ปี 2564 นอกจากนี้ผลกระทบจากการกู้เงินภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2565 จะถูกบรรเทาลงผ่านการบริหารจัดการของธปท. ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดปริมาณการออกและทยอยไถ่ถอนพันธบัตรธปท. บางส่วนด้วยเช่นกัน

"ดังนั้นแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางสภาพคล่องของระบบการเงินไทยในปี 2565 จะอยู่ที่สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจต้องระวังการเปลี่ยนทิศมาเป็นฝั่งไหลออก โดยเฉพาะตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยุติโครงการซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการ QE และเริ่มดำเนินนโยบายการเงินแบบคุมเข้มมากขึ้นด้วยการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว อาจทำให้การวัดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลและธปท. ที่ธนาคารพาณิชย์ถือครองเพื่อเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องมีความผันผวนตามการ mark to market ไปด้วยเช่นกัน"

 

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดว่า กนง.มีแนวโน้มยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายและความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคุมเข้มนโยบายการเงินมากกว่าที่ตลาดคาดอย่างใกล้ชิด (เช่น มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 3 ครั้ง) เพราะอาจจะส่งผลทำให้ความเสี่ยงต่อกระแสเงินทุนไหลออกเพิ่มมากขึ้น และอาจนำไปสู่แรงกดดันต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 เป็นอย่างเร็ว

โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นไปอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเป็นเวลาประมาณ 6 เดือนติดต่อกัน และหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเริ่มขยับขึ้นจริงก็จะส่งผลทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม โดยเฉพาะดอกเบี้ยประจำ 3-12 เดือน และ MLR ซึ่งจะเป็นบวกต่อ NIM ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 เพราะธนาคารจะยังไม่รับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ปรับขึ้นดังกล่าวในทันที อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้น ธนาคารพาณิชย์ก็อาจจะต้องติดตามสถานการณ์คุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะหากระดับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจไทยยังไม่เข้มแข็งพอ

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT