ราคาบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซีเบอร์ 1 ของโลก หลุดจากระดับราคาประมาณ 46,000 ดอลลาร์สหรัฐ/บิทคอยน์ เมื่อวานนี้ ลงไปอยู่ต่ำกว่า 43,000 ดอลลาร์ทันทีเมื่อคืนที่ผ่านมา และยังร่วงลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำสุด 42,505 ในการซื้อขายเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (6 ม.ค. 2565) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาดการณืไว้ และจะลดขนาดงบดุลลงทันทีที่เริ่มขึ้นดอกเบี้ยด้วย
บันทึกการประชุมของเฟด ระบุว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยคาดว่าอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มิ.ย. ปีนี้ จากคาดการณ์เดิมในช่วงไตรมาสแรกปี 2566 นอกจากนี้ เฟดยังเห็นชอบให้เริ่มดำเนินการปรับลดขนาดงบดุลบัญชี (Balance Sheet) ของเฟดในทันที หลังจากที่มีการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย เพื่อพยายามควบคุมปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐ ที่กำลังพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
สัญญาณดังกล่าวของเฟด จึงทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีตามมาด้วยทันที เพราะนักลงทุนมองว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อบิทคอยน์หรือคริปโตเพื่อเตรียมรับความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในสหรัฐอีก
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่นักลงทุนรายย่อยและสถาบันวิ่งเข้าหาบิทคอยน์ ก็คือ การซื้อเป็นสินทรัพย์กันความเสี่ยงเงินเฟ้อ เพราะเชื่อว่า การที่เฟดออกนโยบาย QE อัดฉีดเงินมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ เข้าซื้อสินทรัพย์มาตลอดหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ยุคแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสในปี 2008 - 2009 ซึ่งทำให้งบดุลบัญชีของเฟดขยายตัวอย่างหนักถึง 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ จะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อครั้งใหญ่ตามมา
ดังนั้น นอกจากนักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์กันความเสี่ยงทั่วไปอย่าง ทองคำ แล้ว นักลงทุนจำนวนไม่น้อยยังหันมาลงทุนในบิทคอยน์เพื่อกันความเสี่ยงเงินเฟ้อด้วย ทำให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นไปแล้วถึง 500% นับตั้งแต่สิ้นปี 2019
อย่างไรก็ดี หากเฟดตระหนักถึงปัญหาเงินเฟ้อว่ารุนแรงกว่าที่คาด และปรับแผนด้วยการขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุลเร็วกว่าที่เคยคาดไว้ ก็อาจช่วยให้เฟดคุมสถานการณ์เงินเฟ้อได้ดีขึ้น และทำให้ความจำเป้นในการซื้อบิทคอยน์กันเงินเฟ้อลดลง เนื่องจากบิทคอยน์และสกุลเงินคริปโตอื่นๆ ยังคงถูกมองว่าเป้นสินทรัพย์เสี่ยงที่มีความผันผวนสูงอยู่