"คนไทย" เทรด FTX สูงสุดอันดับ 13 ของโลก เดือนละ 130,000 คน ขณะที่ชาวคริปโท "เกาหลี-สิงคโปร์-ญี่ปุ่น" เป็น 3 ชาติที่เทรดหนัก-เจ็บหนักสุด
ปัญหาที่แพลตฟอร์มเทรดคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่อย่าง FTX เจ๊งจนต้องยื่นล้มละลาย ยังคงเป็นฝันร้ายที่ความจริงค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาทีละนิดทีละหน่อย ให้คนทั่วโลกชวนอึ้งกันไปตามๆ กันว่า มันเกิดช่องโหว่ที่แทบไม่ต่างอะไรกับ "การฉ้อโกง" แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
ล่าสุดมีการเปิดเผย "เหยื่อ" เป็นรายประเทศ เมื่อเว็บไซต์ Gecko เปิดเผยรายชื่อ 30 ประเทศที่มีอัตราการเข้าแพลตฟอร์ม FTX.com รายเดือนสูงที่สุด ระหว่างเดือน ม.ค.- ต.ค. 2022 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า "เอเชีย" คือภูมิภาคที่มีคนแห่เข้าไปเล่นในกระดานนี้มากที่สุด
เฉพาะแค่ 3 อันดับแรก นำโดย "เกาหลีใต้" 2.972 แสนราย "สิงคโปร์" 2.417 แสนราย และ "ญี่ปุ่น" 2.235 แสนราย ก็คิดเป็นสัดส่วนถึง 16% ของปริมาณการเทรดทั้งหมดของแพลตฟอร์มนี้เข้าไปแล้ว
ส่วน "ประเทศไทย" นั้นถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของตารางเหมือนกัน ในอันดับที่ 13 โดยมีจำนวนคนเทรดอยู่ที่เกือบ 130,000 คนต่อเดือน ซึ่งหมายความว่าการล้มละลายของ FTX ทำให้มีคนไทยบาดเจ็บ(ทางตรง) มากถึง 1.3 แสนรายเลยทีเดียว เฉพาะแค่แพลตฟอร์มเพียงที่เดียวเท่านั้น
ถึงเวลารัฐบาลประเทศต่างๆ ต้องล้อมคอก?
กรณีของ FTX ซึ่งถือเป็นการ "ซ้ำ" แผลเดิมของวงการคริปโทเคอร์เรนซีที่ยังไม่หายดีจากเคส Terra LUNA และ UST เมื่อช่วงกลางปีนี้ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาถกเถียงกันมากขึ้นแล้วว่า อาจถึงเวลาต้องออกกฎควบคุมเรื่องการลงทุนคริปโทมากขึ้น
"เกาหลีใต้" นับเป็นประเทศที่บอบช้ำมากที่สุดทั้งจากเคส FTX งวดนี้ และจากเคส Terra ที่เป็นบริษัทของคนในบ้านตัวเองอย่าง "โด ควอน" ซึ่งตอนนี้หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งในยุโรปเรียบร้อยแล้ว
เกาหลีใต้มีประชากรทั้งหมด 52 ล้านคน แต่มีคนเข้าไปเทรดใน FTX.com ถึง 3 แสนคน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 6.1% ของกระดานเทรดนี้ ซึ่งสะท้อนถึงกระแสที่ชาวเกาหลีแห่ตอบรับการลงทุนใหม่มากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย แต่เมื่อเกิดความเสียหายก็จะเจ็บหนักสุดกว่าใครด้วย และเคส FTX ก็เป็นสัญญาณเร่งให้รัฐบาลเกาหลีใต้รีบดำเนินการวางระเบียบกฎเกณฑ์ให้ "เร็วขึ้นกว่าเดิม"
ที่จริงแล้ว เกาหลีใต้เพิ่งจะมีการผ่านกฎหมายฉบับใหม่ออกมาที่ชื่อว่า Digital Asset Basic Act (DABA) หรือกรอบระเบียบกฎเกณฑ์ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลฉบับใหม่ที่มีความรัดกุมขึ้น โดยเพิ่งออกมาเมื่อเดือน มิ.ย. 2022 ภายหลังเกิดเคสปัญหาของ Terraform Labs ในเดือน พ.ค.
คิมโซยัง รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการทางการเงิน (FSC) ของเกาหลีใต้ ระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินการคุ้มครองนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ก็ไม่สามารถรอระเบียบกฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานร่วมของโลก เหมือนอย่างด้านการค้าและการลงทุนได้ จึงต้องรีบออกระเบียบกฎเกณฑ์ของประเทศตนเองออกมาใช้ก่อน และกลายเป็นกฎหมาย DABA ออกมาในที่สุด
แต่ปัญหาก็คือ แม้กฎหมายฉบับนี้กำลังจะเริ่มมีผลบังคับใข้ในปีหน้า 2023 แต่ก็อาจจะ "ไม่ทันการณ์" ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี ที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวรวดเร็วราวติดจรวด ทั้งรวยเร็ว และเจ๊งเร็วพอๆ กัน โดยเฉพาะหลังจากที่แพลตฟอร์มใหญ่ระดับ FTX ล้มละลาย ซึ่งทำให้ช่วงเดือนธันวาคมหรือ 1 เดือนสุดท้ายของปี 2022 นี้ อาจจะมีความเสียหายอีกมากมายตามมาจาก "โดมิโน เอฟเฟกต์" ก็เป็นได้
ด้าน "สิงคโปร์" อาจถือเป็นประเทศที่ตอบรับคริปโทดียิ่งกว่าเกาหลีใต้เสียอีก หากเทียบสัดส่วนคนที่เข้าไปเทรดในกระดาน FTX.com เป็นอันดับ 2 ในสัดส่วนประมาณ 5% ของกระดาน ทั้งที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 5.5 ล้าน คนเท่านั้น
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวสิงคโปร์เข้าไปเล่นในกระดานนี้เยอะกว่าใคร เป็นเพราะ Binance กระดานเทรดเบอร์ 1 ของโลก ได้ปิดให้บริการในสิงคโปร์ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2021 ทำให้ผู้เล่นหลายรายย้ายไปเล่นใน FTX
คนที่บาดเจ็บก็ไม่ได้มีแค่นักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ระดับ Temasek Holdings ที่เป็นถึงกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ (Sovereign Wealth Fund: SWF) อีกด้วย โดยมีการเปิดเผยข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า เทมาเส็ก มีการลงทุนใน FTX ประมาณ 275 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ "ญี่ปุ่น" คิดเป็นสัดส่วนการเทรดใน FTX ประมาณ 4.6% โดยที่ภาครัฐและบรรดาบริษัทในญี่ปุ่นกำลังพยายามหาทางป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงขยายวงกว้างออกไป
บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ SoftBank ที่เป็นหนึ่งในนักลงทุนสถาบันเหมือนกับเทมาเส็ก ก็ได้ลงบัญชีตัดจำหน่าย (Write-off) ที่ลงทุนกับ FTX ไป 100 ล้านดอลลาร์แล้ว ส่วนแพลตฟอร์มเทรดคริปโท Liquid ที่เพิ่งถูก FTX ซื้อไปเมื่อต้นปีนี้เพื่อใช้เป็นฐานเจาะตลาดประเทศญี่ปุ่น ก็รีบประกาศระงับการถอนเงินแล้ว ขณะที่คณะกรรมการการเงินของญี่ปุ่น (FSA) ก็ได้ออกประกาศตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. ให้ FTX Japan ระงับการดำเนินธุรกรรมในประเทศแล้ว และสั่งห้ามเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน-หนี้สินในญี่ปุ่นออกนอกประเทศ
และนี่ก็อาจเป็นเพียงความเคลื่อนไหวเล็กๆ เพื่อล้อมคอกสถานการณ์เฉพาะหน้า ก่อนที่จะนำไปสู่การคุมเข้มจริงจังมากขึ้นหลังจากนี้ในปีหน้า!