ธุรกิจการตลาด

เปิดเส้นทางเหรียญ JFIN ทำรายได้พันล้านให้ “เจมาร์ท”

5 ธ.ค. 64
เปิดเส้นทางเหรียญ JFIN ทำรายได้พันล้านให้ “เจมาร์ท”

JFIN Coin กำลังเป็นอีกเหรียญโทเคนที่กำลังร้อนแรงและอยู่ในความสนใจของวงการสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยในช่วงนี้

เหรียญ JFIN ก่อกำเนิดขึ้นในปีต้น 2561 โดย บมจ. เจ มาร์ท(JMART) ผ่านบริษัทคือ บริษัทเจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) ได้ออกเสนอขายเหรียญ 100 ล้านโทเคนราคาเหรียญละ 6.60 บาท รวมมูลค่าระดมทุน 660 ล้านบาท เป็นดิจิทัลโทเคนสัญชาติไทยรายแรกเกิดขึ้นก่อนที่จะมี พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศออกมาบังคับใช้ ถือเป็นความท้าทายทั้งฝั่งผู้ออกเหรียญแล้วหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ยังใหม่มากของประเทศไทย

JFin Coin คือ Digital Token ซึ่งระดมทุนผ่านจะเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก(Initial Coin Offering: ICO) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนพัฒนาระบบ Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) หรือการให้คนกู้เงินระบบ ดิจิทัล ผ่านโทรศัพท์มือถือบนระบบ Blockchain สามารถสร้างระบบสินเชื่อแบบไร้ตัวกลางในการกู้ยืมและทำให้ระบบการกู้ยืมมีประสิทธิภาพการใช้สัญญาอัจฉริยะ(Smart Contracts) โดยมีบริษัทลูกอีกแห่งคือ บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด จะเป็นผู้ทำธุรกิจนี้

หลังเหรีญ JFIN เข้ามาเทรดตลาดในปี 2561 สถานการณ์ราคาไม่สู้ดีนักจนถึงขั้นนักลงทุนโอดครวญ เพราะช่วงต้นปี 2562 ราคาเคยดิ่งหนักเหลือเหรียญละ 80 สตางค์จากราคาจอง ICO ที่ให้จองซื้อไป 6.60 บาทต่อเหรียญ จากวิกฤติความเชื่อมั่นที่ "คอยน์ แอสเซท" ซึ่งเป็นตลาดที่ JFIN เข้าไปซื้อขายอยู่ในตอนนั้นเกิดปัญหาคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ส่งให้ คอยน์ แอสเซท ต้องปิดตัวสร้างความตระหนักกลัวว่า JFIN จะไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เกิด Panic Selling หรือสภาวะที่เกิดจากการขายแบบตื่นตระหนกตกใจ แต่เหรียญ JFIN ก็ถูกโอนย้ายมาเทรดในกระดาน Bitkub.com กับ Satang.pro แทน ทำให้ในช่วงนั้นชื่อของ JFIN เงียบไปบ้างเพราะนักลงทุนที่ถือตั้งแต่ ICO ก็ขึ้นไปอยู่ดอยกันเป็นส่วนใหญ่

จนกระทั่งในช่วงเดือน ส.ค.ปีนี้ กลุ่มเจมาร์ทเริ่มมีพัฒนาการธุรกิจที่สำคัญหลังประกาศร่วมทุนกับร่วมทุน(JV) และการเข้าของบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง(BTS) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของเจมาร์ท รวมถึงมีกระแสข่าวว่า เจมาร์ท จะร่วมกับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในรูปแบบของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) รับโอนหนี้เสียที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจาก KBANK มาบริหาร ถือเป็นปัจจัยที่มาปลุกชีวิตของเหรียญ JFIN ให้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาอย่างร้อนแรงดันให้ราคาขั้นไปทำนิวไฮที่ 243 บาทต่อเหรียญ บวกขึ้นมาประมาณ 300% เมื่อววันที่ 30 พ.ย.ปีนี้จากระยะเวลาในสัปดาห์เดียวจากที่ราคาเคยวิ่งในช่วง 62-85 บาทต่อเหรียญ ด้วยแรงซื้อเก็งกำไร แม้ราคาปัจจุบันจะย่อตัวลงมาแรงอยู่ที่ระดับประมาณ 80-90 บาทต่อเหรียญ(ข้อมูล ณ 5 ธ.ค.)

ปัจจุบัน JFIN นั้นอยู่ Network ของ Blockchain 3 ระบบ คือ

1. Ethereum (erc20) ที่ใช้อยู่บน Exchange (Bitkub.com, Satang.pro)
2. Stellar เป็นการใช้งานภายในแอปพลิเคชั่น JID
3. Binance Smart Chain เป็นการใช้งานสำหรับ Decentralized Finance (Defi) ที่เรามีแพลตฟอร์มใช้อยู่ในปัจจุบันชื่อ JREPO.IO


JFIN สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

JFIN เป็น Utility Token ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยในปัจจุบัน JFIN สามารถ
1. ซื้อสินค้าใน Jaymart Shop (ช่วงกิจกรรม)
2. ซื้อ Coupon เช่น CASA LAPIN (Gift Voucher), Totem Kingdom(Ticket), แอเรีย ภายในแอปฯ JID
3. สำหรับใช้ในเมนู Stake ภายในแอปฯ JID เพื่อได้รับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมจากการปล่อยกู้แอปฯ "ป๋า"
4. ใช้ JFIN ปล่อยกู้ หรือ ค้ำประกัน ในแพลตฟอร์ม JREPO.IO

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ มาร์ท กล่าวกับทีมข่าว "SPOTLIGHT" ว่า เส้นทางการเกิดของเหรียญ JFIN ที่มาถึงวันนี้ด้วยมุมมองความเชื่อของกลุ่มเจมาร์ท ดังนี้
ข้อที่ 1. เชื่อในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน มาใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจที่เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาคริปโตเคอเรนซีกับโทเคนซึ่งในปี 2561 ที่เกิดเหรียญ JFIN คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อมั่นในบล็อกเชนซึ่งเป็นเทรนด์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต

ข้อที่ 2.เชื่อในแนวโน้มของสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเหรียญโทเคนจะนำมาใช้แทนเงินตราที่ใช้ในปัจจุบัน โดยเหรียญ JFIN เป็น Utility Token จึงไม่ได้ถูกกำกับจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพราะมีคุณสมับัติสำคัญคือ สามารถนำไปใช้ลด-แลก-แจก-แถม สามารถใช้กับสินค้าและบริการในกลุ่มของเจมาร์ท หรือใช้ในระบบนระบบนิเวศน์ (Ecosystem) และไม่ใช่เงินตราตามนิยามธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพราะก่อนทำได้มีปรึกษาขอคำแนะนกับ ธปท.แล้ว

สำหรับตั้งแต่วันแรกถึงปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าความเชื่อในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมากับกลุ่มเจมาร์ทเป็นประโยชน์และประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ที่กระแสภาพรวมของคริปโตเคอเรนซีคึกคักอย่างมากทำให้เหรียญ JFIN ถูกนำมาแลกสินค้าและบริการในระบบของเจมาร์ทประมาณ 3 ล้านเหรียญสามารถสร้างรายได้กลับเข้ามาที่เจมาร์ทถึงประมาณ 1,000 ล้านบาทแล้ว

อีกข้อมูลที่ยืนยันว่าความเชื่อของเจมาร์ทมาถูกที่ถูกทาง เพราะตัวนักลงทุนที่เข้าจอง ICO วันแรกของ JFIN เมื่อปี 2561 ที่มีจำนวน 2,200 ราย ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6-7 แสนรายแล้ว ขณะที่ล่าสุดที่ถือเป็นการพลิกเกมส์ธุรกิจใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่เจมาร์ทประกาศการร่วมมือกันครั้งใหญ่ BTS กับเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ในการนำ JFIN Coin มาใช้ใน Ecosystem กับผู้ร่วมค้า โดยเตรียมตัวเปิดใช้งานประมาณ ต้นปี 2565 ซึ่งจะทำให้มีฐานลูกค้าใหม่ที่เข้ามาใช้ JFIN Coin เพิ่มรวมเป็นประมาณ 3 ล้านรายได้ในปีหน้าที่จะเข้ามาถือ JFIN Coin และยังโอกาสเติบโตขึ้นต่อเนื่องจากแผนความร่วมมือใหม่ที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีกในอนาคตด้วย

อย่างไรก็ดี JFIN Coin อีกด้านหนึ่งก็ถูกนำไปซื้อขายในตลาดรองด้วยจึงเกิดให้มีแรงซื้อขายเก็งกำไรของนักลงทุนเข้ามาตามกลไกของการซื้อขาย โดย JFIN Coin ก็ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจาก ก.ล.ต. อีกทั้งเร็วๆนี้ JFIN Coin เตรียมจะเข้าไปซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของยุโรปด้วยจะทำให้นักลงทุนทั่วโลกซื้อขาย JFIN Coin จะเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นในต่างประเทศ อีกมุมจะสนับสนุนการตลาดให้กับอีกโครงการคือ DeFi ชื่อ JREPO เป็นแพลตฟอร์มให้บริการฝาก/กู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกในประเทศไทย ที่เป็น Global Product และบริษัทในกลุ่มปัจจุบันเจ ฟินเทค อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ DDLP และรอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกเกณฑ์และใบอนุญาตในการทำธุรกิจนี้

นอกจากนี้ยังมีโครงการ JNFT Marketplace ที่เป็นตลาดที่เปิดให้ซื้อ ขาย ประมูล ผลงานศิลปะที่เป็นดิจิทัลบนระบบบล็อกเชนผ่านการยืนยันสิทธิ์แทนการเป็นเจ้าของ ด้วยเหรียญที่ไม่สามารถแทนค่าหรือทำซ้ำได้ (Non-Fungible Token:NFT)

ทั้งนี้ธุรกิจทั้งหมดที่ว่ามาข้างต้นแม่ทัพใหญ่ของกลุ่มเจมาร์ทที่ธุรกิจดิจิทัลของบริษัทถูกพัฒนาบนบล็อกเชนให้มุมมองต่อในอนาคตว่าในโลก Metaverse ที่จะเกิดขึ้นทำให้ทุกคนในโลกนี้ต้องมีโทเคนนำมาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในโลกเสมือนคล้ายกับการที่ปัจจุบันคนที่เล่นเกมออนไลน์ต้องซื้ออาวุธหรือแอคเซสซอรี

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT