
เพียง 44 วันหลังผู้นำไทย–กัมพูชา จับมือประกาศสันติภาพกลางเวทีอาเซียน เสียงระเบิดที่ชายแดนศรีสะเกษในวันที่ 7 ธันวาคมก็ทำให้ทุกความหวังที่เพิ่งถูกจุดขึ้นดับลงในชั่วข้ามคืน
จากข้อตกลงที่เคยถูกยกให้เป็น “ก้าวประวัติศาสตร์ของภูมิภาค” กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระลอก
แสดงให้เห็นว่าปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชายังคงเปราะบางจนพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าคำมั่นสัญญาบนโต๊ะประชุมจะหนักแน่นแค่ไหนก็ตาม
ปฏิญญาสันติภาพ ความหวังที่เกิดขึ้นกลางเวทีอาเซียน
วันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ร่วมลงนาม “ปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชา” ณ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม เป็นสักขีพยาน
ข้อตกลงนี้มีแกนหลักสำคัญในการลดความตึงเครียดชายแดน ทั้งการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้วัตถุระเบิด การร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้าการลงนาม ทั้งกรอบ JBC และ GBC ยังเป็นไปอย่างราบรื่น ถือเป็นสัญญาณบวกของความร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายปี
ทุ่นระเบิดสะเทือนเสถียรภาพ จุดแตกหักของสันติภาพ
แต่สันติภาพนั้นอยู่ได้เพียงชั่วคราว เมื่อทหารไทย 4 นายได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลไทยเรียกประชุม สมช. ฉุกเฉินเพื่อประเมินสถานการณ์
รัฐบาลมองว่า การมีทุ่นระเบิดในเขตไทยคือการละเมิดอธิปไตยอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นภัยต่อกำลังพลและประชาชน ส่งผลให้ไทยประกาศระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงไทย–กัมพูชาที่กัวลาลัมเปอร์ทั้งหมด พร้อมยุติการส่งเชลยศึก 18 นายกลับกัมพูชา
ความเคลื่อนไหวนี้กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญ เพราะถือเป็นครั้งแรกหลังลงนามสันติภาพที่ไทยประกาศหยุดทุกช่องทางความร่วมมือ
จากการระงับสู่การไม่เจรจา
รัฐมนตรีกลาโหมของไทยประกาศชัดว่า จะไม่มีการเจรจากับกัมพูชา ทั้งในระดับทวิภาคี กระทรวงกลาโหม หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ส่วนการเก็บกู้กับระเบิดที่เหลือ จะดำเนินการฝ่ายเดียว
ในเวลาเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชา และแจ้งต่อสหรัฐฯ–มาเลเซีย ซึ่งเป็นสักขีพยานในข้อตกลง เพื่อให้ประชาคมโลกรับรู้ว่าไทยคือฝ่ายถูกละเมิด
“เวทีเจนีวา” ไทยยกระดับสู่การใช้กลไกอนุสัญญาออตตาวา
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปร่วมประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ณ นครเจนีวา พร้อมเปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ต่อที่ประชุม ไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจสอบพื้นที่, บันทึกของผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) , รายงานขององค์กรสากลรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด (ICBL) และคลิปวิดีโอที่ทหารกัมพูชากำลังฝึกวางทุ่นระเบิด PMN-2
โดยไทยยืนยันว่า กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาและละเมิดอธิปไตยของไทยโดยตรง
ไทยจึงใช้สิทธิ์ภายใต้ระเบียบวาระข้อ 8 (Article 8) ขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวกจัดตั้ง คณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง ซึ่งถือเป็นการยกระดับคดีนี้สู่เวทีระหว่างประเทศเต็มรูปแบบ
สมรภูมิ 7–8 ธันวาคม ที่สั่นคลอนสันติภาพไทย–กัมพูชา
เพียงไม่ถึงสองเดือนหลังคำว่า “สันติภาพ” ถูกลงนามบนโต๊ะเจรจา เสียงปืนจริงกลับดังขึ้นบนพื้นที่จริงของชายแดนไทย–กัมพูชา เหตุปะทะที่เริ่มจากศรีสะเกษในบ่ายวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ขยายวงข้ามคืนสู่หลายจุดในอุบลราชธานี จนกลายเป็นวิกฤตความมั่นคงครั้งใหญ่
ไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่ทำให้พรมแดนกลับสู่ความเดือดดาลในเวลาอันสั้น
วันที่ 7 ธันวาคม 2568
ตั้งแต่บ่ายวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ความตึงเครียดบนแนวชายแดนไทย–กัมพูชาก็เริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อเวลา 14.15 น. หน่วยพัน.ร.13 หรือฉก.1 เผชิญการยิงจากกำลังกัมพูชาบริเวณภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อนในจังหวัดศรีสะเกษ
ทำให้ไทยต้องตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การปะทะครั้งแรกนี้ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย จากนั้นเวลา 14.16 น. กัมพูชาเริ่มยกระดับการยิงด้วยอาวุธสนับสนุนประเภทปืนใหญ่ไร้แรงสะท้อน ส่งผลให้แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องสั่งเพิ่มระดับความพร้อมของกำลังพลทันที
แม้ช่วงเย็นของวันเดียวกันเสียงปืนจะลดลง และสถานการณ์เหมือนจะเริ่มคลี่ตัว แต่ข่าวจากกองทัพบกยังระบุถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติในฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะการขนย้ายจรวดหลายลำกล้อง RM-70 เข้ามาใกล้แนวชายแดน
ทำให้ทุกหน่วยยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ขณะที่ในช่วงกลางคืน กองกำลังสุรนารีประกาศแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงของ 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี พร้อมตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อรองรับประชาชนจำนวนมากที่อาจได้รับผลกระทบจากการปะทะที่ยังไม่ยุติ
วันที่ 8 ธันวาคม 2568
พอเข้าสู่วันที่ 8 ธันวาคม เหตุการณ์ก็ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง โดยความขัดแย้งเริ่มขยายตัวจากจุดเดิมในจังหวัดศรีสะเกษ ไปยังพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยเฉพาะแนวช่องอานม้าและช่องบก
ก่อนเวลา 03.00 น. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบข้อมูลข่าวกรองสำคัญว่าฝ่ายกัมพูชากำหนดเป้าหมายของอาวุธยิงสนับสนุนไปยังจุดยุทธศาสตร์สำคัญในฝั่งไทย เช่น สนามบินบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลปราสาท แม้จะยังไม่มีการยิงจริง แต่สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าฝั่งกัมพูชากำลังเตรียมขยายปฏิบัติการเต็มรูปแบบ
ตั้งแต่เวลา 05.00–06.30 น. การปะทะหนักเริ่มเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดในอุบลราชธานี เวลา 05.00 น. ในช่องอานม้า กัมพูชาใช้ทั้งปืนเล็กและอาวุธวิถีโค้งยิงใส่แนวกำลังไทย ไทยจึงต้องยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตัวตามกฎการปะทะ
ถัดมาประมาณ 05.05–05.30 น. มีการยิงปืนเล็กยาวใส่แนว ตชด.793 และปืนกลจากฐาน “แดนไกล ตะวันออก” ตามมาอย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเวลา 05.57 น. มีรายงานว่าพบกำลังกัมพูชาประมาณ 50 นายเคลื่อนกำลังขึ้นเนิน 677 ใกล้พรมแดน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมรุกคืบที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ตั้งแต่เวลา 06.07 น. จนถึง 06.23 น. กระสุนครกจากฝั่งกัมพูชาตกลงในหลายพื้นที่ รวมทั้งบริเวณบ่อดินด้านหลังตลาดไทในช่องอานม้า ฝ่ายไทยจึงตอบโต้ด้วยครก 60 มม. จากฐาน “เจนศึก” ตลอดช่วงเช้ามืดนี้ การปะทะขยายวงเป็นแนวยาวและเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกันหลายฐานในอำเภอน้ำยืน ถือเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงตัวที่สุดนับตั้งแต่เหตุเริ่มต้นเมื่อบ่ายวันก่อน
จนกระทั่งประมาณ 07.00 น. แนวช่องบกกลายเป็นพื้นที่ที่รุนแรงที่สุด เมื่อฝ่ายกัมพูชายิงอาวุธสนับสนุนใส่ฐานของไทย ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 4 นาย กองทัพบกยืนยันว่าไทยใช้อากาศยานโจมตีตอบโต้เป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเพื่อหยุดยั้งการใช้อาวุธยิงระยะไกล และตามรายงานของสื่อต่างประเทศ มีการใช้อากาศยาน F-16 โจมตีอย่างน้อย 3 จุดในฝั่งกัมพูชา
หลังการปะทะยืดเยื้อและขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง การอพยพประชาชนจำนวนมากจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเช้า–สายของวันที่ 8 ธันวาคม โดยกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่ามีประชาชนกว่า 70% ของพื้นที่เสี่ยงได้อพยพออกมาแล้ว รวมผู้ลงทะเบียนเข้าสู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว 35,623 คน และมีผู้เสียชีวิต 1 คนระหว่างการอพยพจากโรคประจำตัว
พร้อมกันนั้นกองทัพยังได้ขอความร่วมมือประชาชนให้งดเผยแพร่ข้อมูลสำคัญอย่างพิกัดยุทธการ ภาพเคลื่อนย้ายกำลัง หรือข้อมูลด้านยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับกำลังพลแนวหน้า
วังวนความขัดแย้งไทย–กัมพูชาที่ไม่เคยสิ้นสุด
เหตุการณ์ในวันที่ 7–8 ธันวาคม ไม่เพียงทำให้สันติภาพที่เพิ่งลงนามต้องพังลง แต่ยังสะท้อนว่าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังอยู่ในวงจรความเปราะบางที่แก้ไขได้ยาก
แม้จะมีความพยายามยกระดับสู่กลไกระหว่างประเทศ ทั้งเวทีอาเซียน เจนีวา และกลไกอนุสัญญาออตตาวา แต่ความไม่ไว้วางใจที่สะสมมานาน รวมถึงข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อน ทำให้ทุกความร่วมมือพร้อมแตกหักได้ในทันทีที่เกิดเหตุหนึ่งครั้ง
สิ่งที่ยังคงค้างอยู่คือ ไทย–กัมพูชา จะหาทางออกจากวังวนนี้ได้อย่างไร หรือข้อตกลงสันติภาพจะเป็นเพียงกระดาษหนึ่งแผ่นที่ไร้ความหมายในพื้นที่จริง ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยปืนเล็ก–ปืนใหญ่–ทุ่นระเบิด และความหวาดกลัวที่ประชาชนสองฝั่งต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Advertisement