กรณีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปที่ตัวเองได้บุกไปห้องเช่าแล้วเจอผู้ชายคนอื่น อยู่ในห้องกับแฟนสาวสองต่อสอง กระทั่งคลิปดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไปในโซเชียล และมีผู้คนมาแสดงความคิดเห็นจำนวนมากนั้น
วันที่ 14 ก.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่ ต.คำเตย อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร นายธิติ (นามสมมติ) ผู้โพสต์คลิป เปิดใจว่า ตัวเองคบหากับนางสาวกี้ (นามสมมติ) ได้ประมาณ 2 ปี ในปี 2563 ตัวเองเข้ากรมเกณฑ์ทหาร กลับหาแฟนที่หอพักอยู่นาน ๆ ครั้ง ในเวลาที่ลากลับบ้านได้ โดยแฟนตัวเองศึกษาที่ จ.อุบลราชธานี และเช่าหอพักอยู่ที่นั่น
ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 ก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน ตัวเองรู้สึกได้ว่านางสาวกี้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม เขาจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์ตัวเอง และขอห่างจากตัวเอง วันที่ 1 กันยายน ตัวเองปลดประจำการทหารออกมา แล้วมาอาศัยอยู่ที่บ้าน ยังไม่ได้ไปหาแฟน เพราะแฟนบอกว่ายังไม่ว่างที่จะพูดคุยกับตัวเอง และอ้างว่าเขาติดสอบ ติดเรียน พร้อมกับนัดให้ตัวเองไปคุยหลังวันที่ 11 กันยายน
กระทั่งวันที่ 11 กันยายน ตัวเองได้ส่งข้อความไปหาแฟนสาว ถามว่าจะเดินหน้าคบกันต่อหรือเลิกกัน แต่ฝ่ายหญิงก็ไม่ตอบข้อความแชต วันที่ 12 กันยายน 2564 ตัวเองตัดสินใจขับมอเตอร์ไซค์จากจังหวัดยโสธร บ้านของตัวเอง ไปยังหอพักของแฟนสาวในอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทาง 200 กิโลเมตร
พอไปถึงหน้าห้อง ตัวเองเห็นรองเท้าผู้ชายวางไว้หน้าห้องของแฟนตัวเอง จึงเกิดความสงสัยแล้วว่าน่าจะมีชายอื่นอยู่ด้านในห้องกับแฟนตัวเอง ตัวเองพยายามเคาะประตูแล้วเรียกแฟนสาวให้มาเปิดประตู แต่เขาก็ไม่เปิด ตัวเองจึงตัดสินใจงัดประตูเข้าไป ก็เจอชายคนดังกล่าวนอนอยู่ในห้องตัวเอง จึงเกิดเหตุการณ์ตามในคลิป ส่วนแฟนสาวตัวเอง เขาได้ไปแอบอยู่ในห้องน้ำ ตัวเองจึงพังประตูห้องน้ำเข้าไปก็เห็นแฟนสาว จากนั้นตัวเองก็ได้มีการต่อว่าแฟนตัวเอง
ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าแฟนสาวที่คบกันมา 2 ปี เขาจะกล้าทำกับตัวเอง โดยการพาชายอื่นเข้าห้องถึงขนาดนี้ ยอมรับว่าวันนั้นคือวันที่แย่ที่สุดในชีวิต มันจุกอกไปหมด และยังดีที่วันนั้นตัวเองไม่สติหลุดเผลอทำอะไรไปมากกว่านี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ตัวเองก็ขับรถกลับมาบ้านที่ จ.ยโสธร แล้วมาโพสต์คลิปจนกระทั่งเป็นกระแสขึ้น
ทั้งนี้ โดยตัวเองมีการแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการ และให้สินสอดฝ่ายหญิงไปแล้ว 100,000 บาท และยังไม่จดทะเบียนสมรสด้วยกัน หลังคลิปปรากฏออกไปทางญาติของฝ่ายหญิงได้โทรศัพท์มาหาตัวเอง แล้วบอกให้ตัวเองลบคลิป ถ้าตัวเองไม่ลบคลิป เขาจะดำเนินคดีกับตัวเอง ตัวเองจึงทำการลบคลิปไปเมื่อเช้าวันนี้ แต่เรื่องทุกอย่างก็ไม่จบ เพราะตัวเองมาทราบว่านางสาวกี้ อดีตแฟนสาวของตัวเอง เขาได้ไปลงบันทึกประจำวันดำเนินคดีกับตัวเองแล้ว
ตอนนี้ตัวเองอยากจะถามว่า "ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรักผมเลยหรอ" ตัวเองทำดีกับเขา ทุ่มเทให้เขามาตลอด หอพักที่กี้อาศัยอยู่ ค่าหอเดือนละ 3,300 บาท ตัวเองก็ส่งเงินจ่ายค่าหอให้เขาเกือบทุกเดือน ยิ่งพอมาเจอเหตุการณ์ครั้งนี้ ห้องนอนตัวเองแท้ ๆ ที่นอนตัวเองแท้ ๆ แต่เขากลับเอาคนอื่นมาอยู่ด้วย
โดยเมื่อวานนี้ตัวเองเข้าไปในห้องนอนที่บ้านของตัวเอง แล้วไปเห็นรูปคู่ที่ตัวเองเคยถ่ายตู่กับนางสาวกี้ ด้วยความที่ตัวเองทำใจไม่ได้ ไม่อยากจดจำนางสาวกี้แล้ว ตัวเองจึงนำรูปถ่ายและของทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางสาวกี้ไปเผาทิ้งที่เตาหลังบ้าน และบันทึกคลิปลงติ๊กต็อกอีกเช่นเคย ขณะที่เผารูปภาพทิ้งตัวเองยังได้เผาพริกเผาเกลือลงไปด้วย แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีการสาปแช่ง
ด้านนายน็อต (นามสมมติ) พ่อของนางสาวกี้ เปิดใจว่า ส่วนตัวได้ทราบข่าวของลูกสาวเมื่อเช้าวันนี้ เพราะเพื่อนบ้านเอาเรื่องมาบอก แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้เห็นคลิปที่เกิดเหตุ และยังไม่เห็นหน้าผู้ชายที่อยู่ในคลิปไม่รู้ว่าชายในคลิปคนดังกล่าวเป็นอะไรกับลูกสาว สำหรับลูกสาวตัวเองไปศึกษาที่ จ.อุบลราชธานี และจะกลับบ้านเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เมื่อเช้าลูกสาวก็ได้โทรหาว่าได้เลิกกับนายธิแล้ว แต่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ
ทั้งนี้ ที่นายธิถ่ายคลิปปรากฏเห็นหน้าลูกสาวลงโซเชียลนั้น ตัวเองก็ไม่พอใจเพราะทำให้ลูกสาวเสียหาย ตัวเองเสียความรู้สึกมาก โดยลูกสาวยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ไปแจ้งความเอาผิด ตัวเองขอยืนยันว่าเงินจำนวน 100,000 บาทที่นำมาให้ครอบครัวตัวเองนั้น ไม่ใช่เงินสินสอดแต่งงาน แต่เป็นเงินที่เมื่อ 1 ปีแรกที่เขาคบหากับลูกสาวตัวเอง เขาได้พาลูกสาวหนีไปที่ต่างจังหวัดกับเขา ตัวเองบอกกับเขาว่าถ้าไม่เอาลูกสาวมาส่งตัวเองจะเอาผิดกับเขา เขาจึงยอมนำเงินจำนวน 100,000 บาท มาขอขมาตัวเอง
กรณีที่ฝ่ายชายอ้างว่า เขาจ่ายเงินค่าหอให้ลูกสาวเกือบทุกเดือนนั้น ตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเขาอยู่หอร่วมกับลูกสาวเขาก็ต้องช่วยกันจ่าย
ด้านนายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า กรณีที่ฝ่ายชายมีการให้ค่าหมั้นกับฝ่ายหญิง แล้วฝ่ายหญิงมีชายอื่นหรือทำผิดสัญญา ฝ่ายชายสามารถบอกเลิกสัญญาหมั้น และฟ้องเรียกของหมั้นคืนได้
ส่วนกรณีที่ฝ่ายชายนำคลิปวีดีโอไปโพสต์ แล้วเห็นหน้าฝ่ายหญิงบางส่วน ทำให้ฝ่ายหญิงได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จนเกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง กรณีนี้ฝ่ายหญิงก็สามารถที่จะเอาผิดกับฝ่ายชายหรือบุคคลทึ่เอาไปโพสต์ได้ ซึ่งจะมีความผิดในฐานหมิ่นประมาท เนื่องจากทำให้ประชาชนส่วนมากเข้าถึงคลิปดังกล่าวนี้ ส่วนบุคคลที่คอมเมนต์หรือแชร์คลิปดังกล่าวนี้จะมีความผิดในฐานมีประมาทโดยการโฆษณาอีกด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท