จากกรณีช่วงค่ำวันที่ 5 ก.ย. 64 ร.ต.อ.สุรพล ศิริไทย รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เขื่องใน รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกของมีคมแทงเสียชีวิต 2 คน บริเวณทางเข้าเถียงนายายใคร่ บ้านฟื้นฟู-บ้านเสียม ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี จึงประสานหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกู้ภัยเขื่องใน 59 แพทย์เวรโรงพยาบาลเขื่องใน เข้าตรวจสอบ
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ก่อนให้หน่วยกู้ภัยนำร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน ส่งนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เพื่อหาสาเหตุการตายอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนสาเหตุนั้นอยู่ในระหว่างดำเนินการสอบสวนว่าเกิดจากสาเหตุใด โดยตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ แค้นส่วนตัว และหึงหวงเรื่องชู้สาว
วันที่ 6 ก.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังบ้านของผู้เสียชีวิต บริเวณบ้านหมู่ 6 ต.หัวตอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี นางลั่นทม ทองชม อายุ 53 ปี พี่สาวของนางกัลยา ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ปกติแล้วผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนนิสัยดี ทั้งคู่คบหาดูใจกันมาได้นานกว่า 10 ปี ทั้งคู่เป็นผัวเมียที่รักกันมาก อาจมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสาผัวเมีย แต่ไม่เคยถึงขั้นใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายกัน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครอบครัวยังคงทำใจไม่ได้ เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
อีกทั้งก่อนที่นางกัลยา น้องสาว จะเสียชีวิต ก็ไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว หรือเรื่องปัญหาการเงินภายในครอบครัวของเจ้าตัวหรือไม่ ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนในครอบครัวไม่ทราบเลยว่าปมเหตุเกิดจากอะไร เพราะน้องสาวก่อนเสียชีวิต ก็ใช้ชีวิตตามปกติ
ส่วนตัวมองว่าน่าจะเป็นการฆ่ากันเองมากกว่า เนื่องจากลักษณะศพไม่น่าใช่การฆาตกรรม หรือมีมือที่สามมาเกี่ยวข้อง ทำให้คนในครอบครัวเชื่อว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนน่าจะมีการพูดคุยกันบริเวณจุดเกิดเหตุ กระทั่งเกิดมีปากเสียงเรื่องปัญหาอะไรสักอย่าง
นายนราศักดิ์จะตัดสินใจใช้อาวุธมีดแทงน้องสาวตนจนเสียชีวิต หลังจากนั้นก็ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองตายตามเพื่อหนีปัญหาหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสได้พูดกับผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน ก็อยากบอกว่าหากทั้งคู่มีปัญหาอะไรก็น่าจะพูดคุยกันดี ๆ ไม่น่าถึงขั้นต้องใช้ความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต สุดท้ายนี้ตนก็ขอให้ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนไปสู่ภพภูมิที่ดี หากตอนมีชีวิตเคยทำอะไรผิดพลาดกับคนในครอบครัว ตนก็ขอโหสิกรรมให้ ในวันพรุ่งนี้ช่วง 13.00 น. ทางครอบครัวจะไปรับศพของผู้เสียชีวิตจากโรงพยาบาลเขื่องใน มาบำเพ็ญกุศลศพที่วัดใกล้บ้านเสียม ตามขั้นตอนของศาสนาต่อไป
นายหนูนา วัททา อายุ 63 ปี ผู้พบศพคนแรก เผยว่า วันที่ 5 ก.ย. 64 เวลาประมาณ 15.00 น. ขณะนั้นตนเดินทางไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุเถียงนายายใคร่ บ้านฟื้นฟู-บ้านเสียม ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี เพื่อเกี่ยวหญ้าให้วัวกินเหมือนตามปกติ แต่ในขณะที่ตนกำลังเกี่ยวหญ้าอยู่นั้น ตนสังเกตเห็นว่าห่างออกไปประมาณ 20 เมตร นายนราศักดิ์ และนางกัลยา สองสามีภรรยาผู้เสียชีวิต ยู่ในสภาพนอนฟุบอยู่ที่พื้นใกล้คู่กับรถจักรยานยนต์ ในตอนแรกตนเข้าใจว่าผู้เสียชีวิตคงจะดื่มสุราจนเกิดอาการมึนเมา และพากันขี่รถจักรยานยนต์ล้มหรือไม่ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อหวังจะทำการช่วยเหลือ
ตนพยายามเรียกอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ อีกทั้งเห็นว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 2 มีบาดแผลถูกแทง และพบอาวุธมีดที่คาดว่าน่าจะใช้ในการก่อเหตุตกอยู่ใกล้ศพ ตนจึงมั่นใจว่าทั้ง 2 คนน่าจะเสียชีวิต จึงรีบประสานกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุดังกล่าว สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนก็เป็นคนดี แต่ตนไม่ทราบละเอียดของการเสียชีวิตในครั้งนี้ ส่วนตัวแล้วมั่นใจว่าไม่ได้เกิดจากมือที่สามฆาตกรรม เนื่องจากเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นายสวัสดิ์ บุญประจง อายุ 52 ปี กำนัน ต.หัวดอน เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนเป็นคนดี เพื่อนบ้านรักใคร่ นายนายนราศักดิ์ ประกอบอาชีพส่วนตัวอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ส่วนนางกัลยาประกอบอาชีพเป็นคุณครูสอนเด็กเล็ก อยู่ภายในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน
ต.หัวดอน ทั้งคู่มีปัญหาทะเลาะกันบ้างมีเป็นเรื่องปกติตามประสาผัวเมีย แต่ไม่เคยทะเลาะกันถึงขั้นใช้ความรุนแรง
โดยช่วงหลังมานี้นายนราศักดิ์ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่เสี่ยง จ.ชลบุรี ได้เดินทางกลับมาบ้านของนางกัลยา ภรรยา ในวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงต้องทำการกับตัว อยู่ที่บริเวณเถียงนา ใกล้จุดเกิดเหตุ โดยจะมีนางกัลยาเป็นผู้ส่งข้าวส่งน้ำให้ กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ส่วนตัวปมเหตุที่เกิดขึ้น ตนเชื่อว่าไม่เกี่ยวฆาตกรรม แต่เป็นการฆ่ากันเอง เรื่องปมปัญหาส่วนตัว แต่รายละเอียดเจาะลึกยังคงไม่มีใครทราบ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม
แต่จากการคาดเดาเชื่อว่านายนราศักดิ์ น่าจะมีปัญหาความเครียดอะไรบางอย่าง จากการที่เห็นเจ้าตัวโพสต์บนเฟซบุ๊ก จึงทำให้มีความคิดว่าอาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเงินภายในครอบครัวหรือปมปัญหาชู้สาว ในส่วนนี้ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการหาความจริงที่แน่ชัดว่า ปมเหตุที่เกิดขึ้นมีความเป็นมาอย่างไรต่อไป