วันที่ 10 ต.ค. 61 ร้อยตรีสมบัติ เท่าตัน อายุ 58 ปี นายทหารชำนาญการ ม.พันที่ 11 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี เดินทางมากดเงิน ที่ตู้เอทีเอ็มหน้าธนาคาร จำนวน 5,000 บาท และได้นำสมุดธนาคารไปปรับ เพื่ออยากทราบยอดที่เหลือ เมื่อปรับออกมา ถึงกับตกใจ เพราะยอดเงินได้หายไปเกือบแสนบาท จึงรีบเดินเข้าไปที่ธนาคารเพื่อสอบถาม เจ้าหน้าที่ธนาคารชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 61 ได้มีการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารอื่น ไปแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรก 200 บาท ครั้งที่ 2-3 ครั้งละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 42,000 บาท และไปกดจากตู้เอทีเอ็มของอีกธนาคารหนึ่ง อีก 2 ครั้ง ครั้งแรก 15,000 บาท ครั้งที่ 2 อีก 20,000 บาท รวมเป็น 35,000 บาท รวมยอดที่กดเงิน 2 ธนาคาร เป็นเงินจำนวนทั้งหมด 75,200 บาท เจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ไปตรวจสอบกับญาติว่า มีผู้ได้นำบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินออกมาหรือไม่
จากนั้น ได้โทรเช็กกลับภรรยา ปรากฏว่าไม่มีใครไปกดเงิน จึงได้ขึ้นไปแจ้งความกับ พ.ต.ท.เธียรวิชญ์ พลเยี่ยม พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี ไว้เป็นหลักฐาน และแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่เคยไปกดเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม เพื่อจะได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบการกดเงินที่หายไป ในกล้องวงจรปิดในครั้งนี้ให้ด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะดำเนินการทำหนังสือไปที่ธนาคารดังกล่าว เพื่อจะได้ให้เจ้าหน้าที่ธนาคารตรวจสอบกล้องวงจรปิดในวันที่ 3 ต.ค. ว่าเหตุเกิดที่ไหนเวลาใด เผื่อพบคนในภาพว่าเป็นคนร้ายก็จะรีบดำเนินคดีต่อไป
ร้อยตรีสมบัติ เท่าตัน เล่าว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 61 ได้เช็คเงินสดจากงานฌาปนกิจของพ่อมาเป็นจำนวนเงิน 207,162 บาท และได้นำมาเข้าธนาคาร เมื่อวันที่ 1 ต.ค. แล้ว ในวันเดียวกันได้เบิกออกไป 45,000 บาท แล้วตนอยากทำบัตรเอทีเอ็ม จึงให้เจ้าหน้าที่ธนาคารทำให้ ซึ่งเคยทำมาแล้ว 1 ครั้ง เจ้าหน้าที่ธนาคารเห็นว่านานแล้ว จึงระงับการใช้ให้ และทำบัตรเอทีเอ็มใบใหม่เสร็จแล้ว จึงบอกให้เจ้าหน้าที่ให้โอนเงินไปให้ลูกชายฝาแฝดที่บวชอยู่ ให้ไป 2,000 บาท เพราะว่าตนยังโอนไม่เป็น เจ้าหน้าที่บอกว่า เดี๋ยวค่อยเอาสมุดมาปรับวันหลังก็ได้ ตนจึงได้กลับบ้านไป ต่อมาวันนี้ ตนมาเบิกเงินจำนวน 5,000 บาท แล้วนำสมุดไปปรับ จึงได้รู้ว่าเงินหายร่วมแสนบาท ตนจึงได้เบิกเงินที่เหลือทั้งหมด 80,000 บาท ออกมา เพราะกลัวว่าจะมีคนมากดเงินออกไปอีก จึงได้ปิดบัญชี