ศาลแพ่งมีคำสั่งห้ามนายกฯ บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นการชั่วคราว กรณีห้ามเสนอข่าวที่อาจทำให้หวาดกลัว ชี้ขัด รธน.

6 ส.ค. 64

ศาลแพ่ง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายกรัฐมนตรี บังคับใช้ข้อกำหนดที่ 29 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามเสนอข่าวที่อาจทำให้หวาดกลัว ชี้ขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 6 ส.ค.64 ศาลแพ่ง รัชดาภิเษก มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว คดีที่ทนายความภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วยตัวแทนสื่อออนไลน์รวม 12 แห่ง ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 หรือ สบค. ขอให้ศาลสั่งเพิกถอน ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ฉบับที่ 29 ที่ให้อำนาจสำนักงานคณะกรรมการบริหารกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

ศาลแพ่ง รัชดาภิเษกระบุว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ ศาลแพ่งมีคําสั่งให้รับคํา ฟ้องในคดีหมายเลขดําที่ พ๓๖๑๘/๒๕๖๔ ที่บริษัท รีพอร์ตเตอร์ โปรดักชั่น จํากัด กับพวกรวม ๑๒ คน ยื่นฟ้อง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) ขอให้ศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนข้อกําหนดที่ออกตามความใน มาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับที่ ๒๙) ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔ พร้อมรับคําร้องขอให้ศาลไต่สวนคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินโดยขอให้ศาลมี คําสั่งให้ระงับการบังคับใช้ข้อกําหนดดังกล่าวและห้ามมิให้นํามาตรการ คําสั่ง หรือการกระทําใดๆที่สั่งการตาม ประกาศดังกล่าวมาใช้กับฝ่ายโจทก์ ประชาชนและสื่อมวลชนไปจนกว่าศาลจะมีคําพิพากษาถึงที่สุดในคดีนี้ และ ศาลนัดฟังคําสั่งวันที่ 5 สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา นั้น

บัดนี้ ศาลแพ่งในคดีหมายเลขดําที่ พ๓๖๑๘/๒๕๖๔ ได้ออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐาน แล้วมีคําสั่งอันสรุปใจความได้ว่า “ข้อกําหนดฯ ข้อ ๑ ที่ห้ามเผยแพร่ข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความ หวาดกลัว มิได้จํากัดเฉพาะข้อความอันเป็นเท็จดังเหตุผลและความจําเป็นตามที่ระบุไว้ในการออกข้อกําหนด ดังกล่าว ย่อมเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของโจทก์ทั้งสิบสองและประชาชนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติคุ้มครองไว้ ทั้งยังไม่ต้องด้วยข้อกําหนดฯ ที่ระบุว่า จําเป็นต้องมีมาตรการที่ กําหนดให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกเป็นไปอย่างมีเหตุผล ถูกต้องตามข้อเท็จจริงตามกรอบที่ รัฐธรรมนูญกําหนด ทั้งข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวตามข้อกําหนดข้อดังกล่าวนั้น มี ลักษณะไม่แน่ชัดและขอบเขตกว้าง ทําให้โจทก์ทั้งสิบสอง ประชาชนและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนไม่มั่นใจ ในการแสดงความคิดเห็นและสื่อสารตามเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๕ วรรค หนึ่ง บัญญัติคุ้มครองไว้ นอกจากนี้ยังเป็นการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ต้องด้วย มาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญฯ ทั้งข้อกําหนดดังกล่าวก็ไม่ได้กําหนดหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการ ปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อมิให้มีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่โจทก์ทั้งสิบสองหรือ ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ ตามความในมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๔

ส่วนข้อกําหนดฯ ข้อ ๒ ที่ให้อํานาจระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่เลขที่อยู่ ไอพี (IP address) ที่มีการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารในอินเทอร์เน็ตที่ฝ่าฝืนข้อกําหนดฯ ไม่ปรากฏว่ามาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้อํานาจนายกรัฐมนตรีออก ข้อกําหนดให้ดําเนินการระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ต จึงเป็นข้อกําหนดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อินเทอร์เน็ตมี ความสําคัญต่อการดําเนินชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease : COVID-19) และรัฐสั่งปิดพื้นที่หรือล็อกดาวน์จํากัดการเดินทางหรือ การพบปะระหว่างบุคคล ทั้งข้อกําหนดข้อดังกล่าวมิได้จํากัดเฉพาะการระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตสําหรับ การกระทําครั้งที่เป็นเหตุแห่งการระงับให้บริการอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่ยังระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตใน อนาคตด้วย ปิดกั้นการสื่อสารของบุคคล และเป็นการปิดกั้นสุจริตชนผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเผยแพร่ ข้อความหรือข่าวสารดังกล่าว ไม่ต้องด้วยมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญฯ การให้ข้อกําหนดทั้งสองข้อ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ต่อไปอาจทําให้เกิดความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังได้ กรณีมีเหตุ จําเป็นเห็นเป็นการยุติธรรมและสมควรในการนําวิธีชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้เพื่อเป็นการระงับการบังคับใช้ ข้อกําหนดทั้งสองข้อดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๔ (๒) มาตรา ๒๕๕ (๒) (ง) ประกอบมาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง และการระงับการบังคับใช้ข้อกําหนดดังกล่าวไม่น่าเป็นอุปสรรคแก่การ บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐหรือแก่ประโยชน์สาธารณะ เพราะยังมีมาตรการทางกฎหมายหลาย ฉบับให้สามารถดําเนินการเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผ่านช่องทางสื่อสาร ต่างๆ อีกทั้งรัฐสามารถใช้สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในการกํากับเป็นเครื่องมือในการให้ความรู้เพื่อการรู้เท่าทัน สร้าง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนแก่ประชาชนได้ด้วย

จึงมีคําสั่งห้ามจําเลยดําเนินการบังคับใช้ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราช กําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๘ (ฉบับที่ ๒๙) เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมี คําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น”

 

933804

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส