แน่งน้อย อัศวกิตติกร เจอร้องสอบจว.พิษณุโลก ปล่อยคนไม่ใช่บุคลากรการแพทย์ฉีดเข็ม 3

3 ส.ค. 64

กรณีดราม่า นาง แน่งน้อย อัศวกิตติกร ชาวจังหวัดพิษณุโลก ได้รับการฉีดวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 3 ทั้งที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ จนกลายเป็นที่วิพากย์วิจารณ์ในโลกออนไลน์นั้น

ต่อมา นางแน่งน้อย หรือ ป้าแน่งน้อย ได้ชี้แจงว่า สาเหตุที่ต้องไปรับวัคซีนเข็มที่ 3 เนื่องจากตนทำงานด่านหน้ามาโดยตลอด นำสิ่งของต่าง ๆ ไปบริจาคให้ประชาชน และจริงๆ ตนมีคิวฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ มีปัญหาเรื่องคนฉีดวัคซีนน้อย ทำให้ตนไปฉีดซิโนแวค 2 เข็ม เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนมากขึ้น

ทั้งนี้ ภายหลังแพทย์ออกมาเตือนว่า การเป็นผู้สูงอายุแล้วฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มมันไม่ดี อาจจะเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันทำให้เหลือน้อย จึงไปขอรับวัคซีนเข็มที่ 3 ส่วนเรื่องที่มีการแอบอ้างว่าเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัด บีบบังคับบุคลากรทางการแพทย์ ไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาก็ไม่เคยอ้างใครอยู่แล้ว การทำงานทำด้วยใจและทำเพื่อสังคมมาโดยตลอด

ต่อมา นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนได้รายงานว่า มีบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์หรือพยาบาลในจังหวัดพิษณุโลก ได้ไปขอให้เจ้าหน้าที่าธารณสุขฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้ตัวเอง อ้างว่ามีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ที่ศูนย์รับฉีดวัคซีน หอประชุมศรีวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น

กรณีดังกล่าว ชี้ให้เห็นช่องว่างของการกำหนดหลักเกณฑ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 3 ของกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคโดยชัดแจ้ง เป็นกรณีที่ซ้ำรอยเดิมคล้ายจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้กับตำรวจซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ แต่ใช้ช่องว่างของหลักเกณฑ์เหมือนกันที่อ้างว่า “เป็นบุคคลด่านหน้า” เพื่อเลี่ยงบาลีอย่างหน้าด้านๆ และไม่ละอายต่อพี่น้องประชาชนคนพิษณุโลกรายอื่นๆ กว่า 80% ที่แม้แต่เข็มแรกก็ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

แม้บุคคลดังกล่าวจะออกมายอมรับโดยให้เหตุผลว่าทำงานด่านหน้ามาโดยตลอด ต้องนำสิ่งของต่าง ๆ จากการบริจาคไปมอบให้กับจุดคัดกรอง หรือโรงพยาบาลสนาม และด้วยความเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งที่ผ่านมาการฉีดวัคซีนนั้นตนมีคิวที่จะฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอยู่แล้ว แต่ด้วยช่วงแรก ๆ ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนน้อย จึงมาช่วยรณรงค์ให้ประชาชนหันมาฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ด้วยการไปฉีดวัคซีนซิโนแวคแทนทั้ง 2 เข็ม โดยมีแพทย์มาบอกตนเองว่าการเป็นผู้สูงอายุ ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มนั้นไม่ดี อาจเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันเหลือน้อย เนื่องจากเป็นผู้สูงอายุ ตนจึงได้ขอเข้าไปฉีดวัคซีนเข็ม 3

การอ้างเหตุผลว่าคนพิษณุโลกออกมาฉีดวัคซีนน้อยนั้น เป็นการกล่าวอ้างแบบน้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น เพราะคนพิษณุโลกส่วนใหญ่ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กันทั้งนั้น เพียงแต่ภาครัฐยังจัดสรรวัคซีนไปให้น้อยไม่เพียงพอต่างหาก การไปแย่งฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 โดยไม่คำนึงว่ายังมีคนอื่นอีกมากที่ยังไม่ได้ฉีดเลย โดยอ้างเหตุผลนานาสารพัดนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนที่ทำงานเสียสละเพื่อสังคมพึงกระทำ อย่าให้พวกเด็กๆมันตำหนิได้ว่าแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว วันนี้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวนไต่สวนเอาผิดผู้ว่าฯพิษณุโลกและสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก(สสจ.)และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องว่า ปล่อยให้บุคคลเหล่านี้มาแย่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปฉีดให้กับตนเองเป็นเข็มที่ 3 ได้อย่างไร ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขต้องทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่ไม่ปล่อยให้มีคนหน้าด้านๆ ใช้ช่องว่าว่าเป็นบุคคลด่านหน้า มาแย่งฉีดวัคซีนเยี่ยงนี้อีก นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ