จากกรณีสาวโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นางรัศฎาพร พิมพ์เกษ แม่ของตัวเองถูก นายกุลชร พิมพ์เกษ พ่อเลี้ยง ทำร้ายร่างกายจนกระทั่งเสียชีวิต เมื่อวันที่ 4 ก.ค.64 หลังเข้ารักษาตัวเมื่อ 2 ก.ค. 64 ครอบครัวแจ้งความแล้ว แต่ตำรวจยังไม่ดำเนินการจับกุม อ้างต้องรอผลชันสูตร เหตุเกิดที่ ต.โนนสมบูรณ์ อ.เมือง จ.บึงกาฬ นั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมียทรหดยอมให้ผัวฆ่าเพื่อช่วยลูก ญาติแฉตำรวจไม่จับปล่อยเพ่นพ่านขู่คน
โดยนายกุลชร พิมพ์เกษ อ้างว่า เหตุการณที่เกิดขึ้น เมียตนใช้อีโต้ฟันตนและได้รับบาดเจ็บที่ขา หลังจากทะเลาะกันเรื่องที่เมียพยายามเล่นเฟซบุ๊กและมีการพูดคุยกับผู้ชายคนอื่น จากนั้นเมียพาขี่รถจักรยานยนต์จะไปโรงพยาบาล แต่ระหว่างทางรถเกิดล้ม ทะเลาะกันเมียก็พยายามจะใช้ค้อนทำร้ายตน
จากนั้นก็ขับขี่รถไปต่อ แล้วรถก็ล้มอีกรอบที่ 2 จากนั้นบรถไปต่อ แล้วรถก็ล้มอีกรอบที่ 3 พยายามไปเรียกสัสดีที่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีคนช่วย จากนั้นขับรถไปต่อแล้วรถก็ล้มอีกรอบที่ 4 ทำให้มีบาดแผลเต็มร่างกาย จนกระทั่งพยายามขับรถไปกับต่อแล้วรถล้มเป็นรอบที่ 5 เจอชาวบ้าน และขอความช่วยเหลือ
วันที่ 19 ก.ค. 64 พ.ต.อ.วิชยานนท์ นิติกุล ผกก.สภ.เมืองบึงกาฬ ได้เข้าควบคุมนายกุลชรเมื่อช่วงเช้า เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่าอยู่ในอาการมึนเมาสารเสพติด โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าเสพยาบ้าไป 2 เม็ด จึงควบคุมตัวมาที่ สภ.เมืองบึงกาฬ
ช่วงแรกนายกุลชรอ้างว่าไม่ได้ทำร้ายเมีย เมียรถล้ม 5 ครั้ง ภายในคืนเดียวจึงเจ็บหนัก เมียเป็นคนขับ รถที่ใช้คือรถมอเตอร์ไซค์ สกูปปี้ และยอมรับว่าใช้เท้าและกำปั้นทำร้ายเมีย แต่เมียใช้อีโต้ฟันสวนตนจึงหยุด และพาไปโรงพยาบาล
พร้อมสอบปากคำเบื้องต้น เรื่องการทำร้ายภรรยา ระบุว่า "ทำจริง ทำไปเพราะความหึงหวง ไปเล่นผู้ชายจับได้ 9 ครั้ง และไม่มีเจตนาฆ่า" ไม่ขออธิบายเพราะจะไปสู้บนศาล
ทีมข่าวเดินทางมาในซอยข้างมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ศูนย์จังหวัดบึงกาฬ เข้าไปราว 500 เมตร ที่เกิดเหตุเป็นถนนลูกรังเลนเดียว ที่เกิดเหตุอยู่กลางถนน ทีมข่าวพบบ้านชาวบ้านหนึ่งหลัง นางสายฝน บุญอุ้ม เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุตนเองเห็น 2 ผัวเมียร้องช่วยด้วยขอความช่วยเหลืออยู่เลยบ้านตนไป ซึ่งตอนนั้นตนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไร ร้องอยู่นาน จนสามีตนขับรถไปดู และไปแจ้งตำรวจที่ป้อมของหมู่บ้าน
สามีเล่าว่า 2 สามีนอนแก้ผ้า เมียบาดเจ็บ ช่วงนั้นราว 05.00 น. ตอนแรกเข้าใจว่ามีคนขับรถตกข้างทาง แต่คนเจ็บนอนอยู่บนถนน สามีตนได้เข้ามาเอาผ้าปูที่นอน และเสื้อผ้าไปให้กับ 2 ผัวเมียคู่นี้คุมปิดร่างไว้
จากนั้นฟ้าสว่างตนเองเดินไปดูที่เกิดเหตุ ได้ยินนานเด่น หรือกุลชร พูดทำนองว่า จะขอกลับบ้านไปดูเอกสาร เพระเมียทำเอกสารหายไปเยอะ จึงมาเคลียร์กัน พร้อมทำเงินหายไป 10 ล้านบาท ส่วนผู้ตายนอนนิ่งอยู่บนถนน สภาพดวงตามีรอยช้ำแดง ส่วนรถจักรยานยนต์จอดอยู่บนถนน ไม่ได้ล้ม ตนเองมั่นใจว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ ด้านตำรวจที่เข้ามาคนแรก ให้ข้อมูลกับทีมข่าว ระบุว่า นายกุลชร ยอมรับตั้งแต่วันแรกว่าทำร้ายภรรยา แต่ส่วนใหญ่ให้การวกไปวนมา
ทีมข่าวเดินทางเข้ามาด้านในซอยตัน นางนิลมล ทาโบราณ ชาวนาที่อยู่สุดซอย เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุตนเองก็ได้ยินเสียงร้อง เป็นเสียงผู้หญิงร้องตั้งแต่ ตี 4 กว่า พูดว่า "ซ้อนแหน่ ๆ มันสิตีหนู ๆ" แปลว่า ช่วยด้วย ๆ มันจะตีหนู ๆ ร้องอยู่แบบนี้ตลอด ตอนแรกตนเข้าใจว่าผัวเมียคู่หนึ่งในพื้นที่ที่ชอบทะเลาะกัน ตนจึงไม่เดินไปดู ผู้หญิงร้องอยู่ 30 นาที
จนกระทั่งมีตำรวจ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมา ตนเองก็ไปดู พบฝ่ายหญิงนอนอยู่กลางถนน สภาพไม่ได้สวมเสื้อผ้า เพราะเห็นหน้าอกฝ่ายหญิง ตนไม่ได้ไปดูใกล้ ส่วน 2 ผัวเมียคู่นี้ไม่เคยเห็นมาแถวนี้ ตนก็ยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเห็นนายกุลชร ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นเด็กร่าเริง รถจักรยานยนต์ของนายกุลชรก็จอดอยู่ ไม่น่าจะเกิดจากรถจักรยานยนต์ล้ม
ทีมข่าวเดินทางมาที่สมาคมกู้ภัยนทีธรรม ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในวันเกิดเหตุ พบกับ นายบดินทร์ ปวิชพงศ์กุล และ นายเสน่ห์ พนมเริงศักดิ์ อาสา เปิดเผยว่า ทีมกู้ภัยได้รับแจ้งว่ามีเหตุทะเลาะวิวาท ตอนนั้นไม่ทราบว่าเป็นผัวเมีย เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบฝ่ายหญิงหมดสติ ผู้ชายกำลังพูดโวยวาย มีแผลฉีกขาดที่ฝ่าเท้าขวา ผู้หญิงมีแผลบวมปูดตามใบหน้า เลือดกำเดาไหล ยังมีชีวิต ออกซิเจนต่ำ
ผู้ชายให้ข้อมูลว่าจับได้ว่าเมียมีคนอื่น จึงเรียกมาเคลียร์ใจกัน ก่อนจะทะเลาะกัน มีการใช้ของมีคม ท่อนไม้ข้างทาง แล้วถอดเสื้อผ้า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการทะเลาะกัน แต่ผู้ชายบอกว่ากลัวมีกล้องติดอยู่ในตัว จึงต้องถอดเสื้อออก ซึ่งฝ่ายชายมีอาการเหมือนจิตไม่ปกติ คาดว่าหลอน ระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล ฝ่ายชายมีอาการแปลกก่อนเปิดประตูรถกู้ภัย และกระโดดลงจากรถ ทำให้เกิดแผลถลอก ยืนยันว่าไม่มีเหตุรถล้มแน่นอน
